บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายปันผลกองทุน ABFTHรวมมูลค่ากว่า 25 ลบ. นักลงทุนรับเงิน 23 ธ.ค.นี้

บลจ.กสิกรไทยเตรียมจ่ายปันผลกองทุน ABFTH รวมมูลค่ากว่า 25 ลบ. นักลงทุนรับเงิน 23 ธ.ค.นี้


นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด หรือ บลจ. กสิกรไทย เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดดัชนีพันธบัตรไทยเอบีเอฟ (ABFTH) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2558 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 3.37 บาทต่อหน่วย มูลค่าการจ่ายเงินปันผลรวม 25.8 ล้านบาท โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 8.00 น. ของวันที่ 15 ธันวาคม 2559 และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 ธันวาคม 2559

สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุนที่ผ่านมา กองทุนสามารถสร้างผลการดำเนินงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 โดยกองทุนมีการจ่ายเงินปันผลไปแล้ว 22 ครั้ง รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 391.73 บาทต่อหน่วย ส่วนในรอบผลการดำเนินงานที่ผ่านมา (1 ธ.ค. 58 – 30 พ.ย. 59) กองทุนให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 2.96%” นายชัชชัยกล่าว

สำหรับจุดเด่นของกองทุน ABFTH คือ เป็นกองทุนรวม ETF กองทุนแรกของไทยที่มีการลงทุนโดยอ้างอิงกับดัชนีตราสารหนี้ภาครัฐ (iBoxx ABFTH Index) โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย หรือออกโดยภาครัฐที่มีรัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน หรือได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่าระดับ Investment Grade จากสถาบันจัดอันดับที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล จึงมีความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ต่ำมาก และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงเนื่องจากกองทุนมีอายุเฉลี่ยของตราสาร (Portfolio Duration) ยาวกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วไป

ทั้งนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว และต้องการบริหาร Portfolio Duration ที่มีระยะเวลาเฉลี่ยประมาณ 6-7 ปี เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น โดยปัจจุบันกองทุนมีขนาดประมาณ 9,000 ล้านบาท และจดทะเบียนซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

โดยกองทุน ABFTH สามารถสร้างผลการดำเนินงานได้ดีในช่วงครึ่งปีแรกเนื่องจากแนวโน้มการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลกทำให้มีแรงซื้อตราสารหนี้และหนุนราคาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปี ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น

ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์หลังชนะการเลือกตั้งน่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลทำให้เกิดแรงขายตราสารหนี้และกดดันราคา ทำให้อัตราผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้น โดย ณ วันที่ 30 พ.ย. 59 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี อยู่ที่ 2.686% ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก ณ 31 ต.ค. 59 ซึ่งอยู่ที่ 2.148%

ด้านมุมมองตลาดตราสารหนี้ไทยในปี 2560 บลจ.กสิกรไทย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจนถึงสิ้นปี 2560 เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกรวมถึงจากการปรับลดคาดการณ์การเติบโตในระยะยาวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดังนั้นอัตราผลตอบแทนจึงไม่น่าปรับตัวขึ้นแรงเหมือนที่คาดก่อนหน้า ประกอบกับปริมาณสภาพคล่องในระบบการเงินโลกที่ยังมีอยู่สูงยังเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้ ทั้งนี้ปัจจัยที่ผู้ลงทุนควรติดตามคือ จังหวะในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และทิศทางการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ที่อาจส่งผลให้ตลาดตราสารหนี้มีความผันผวนได้ในระยะสั้น” นายชัชชัยกล่าว

Back to top button