ยังจำได้ไหม! 2 เหตุการณ์ดังปี 59ฉุดตลาดหุ้นไทยเลือดไหลไม่หยุด!

ยังจำได้ไหม! 2 เหตุการณ์ดังปี 59 ฉุดตลาดหุ้นไทยเลือดไหลไม่หยุด!


ปี 2559 ยังจำได้ไหมมีปัจจัยในและนอกประเทศอะไรบ้าง ที่เข้ามากระทบบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งเห็นได้จากราคาหุ้นบางตัวร่วงแรงเหมือนเลือดไหลไม่หยุดก็ว่าได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการย้อนรอยเหตุการณ์ที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นอย่างหนักในปีที่ผ่านมา “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จะขอรวบรวมข่าวในลักษณะดังกล่าวมาให้ได้อ่านอีกครั้ง โดย 2 ข่าวที่นักลงทุนให้ความสนใจและเข้ามาอ่านเป็นจำนวนมากมีดังนี้

 

จับตา 8 หุ้นโดนสะเก็ดระเบิด!

จากเหตุการณ์ระเบิดหลายจุดในพื้นที่หลายจังหวัดภาคใต้ช่วงระหว่างวันที่ 7-12 ส.ค.59 มีผู้เสียชีวิตจำนวน 4 คน บาดเจ็บ 32 คน แน่นอนเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่คาดว่าจะได้รับกระทบต่อราคาหุ้นในบางกลุ่มอย่างชัดเจน

เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์เมื่อในวันที่ 17 ส.ค. 58 ส่งผลให้วันที่ 18 ส.ค. 58 ตลาดหุ้นเปิดตลาดดัชนีหุ้นดิ่งลงทันที 38.20 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1,370.54 จุด หรือลดลง 2.71% มูลค่าการซื้อขาย 5,503.24 ล้านบาท โดยนักลงทุนเทขายหลังเกิดความกังวลกรณีเหตุระเบิดราชประสงค์ 

ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงรวบรวมข้อมูลหุ้นที่เคยได้รับกระทบจากเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์มาเป็นแนวทางในการรับมือและเข้าลงทุนในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.59) สำหรับโดยหุ้นที่น่าจะรับผลกระทบมากสุดจากเหตุการระเบิดได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม,กลุ่มสายการบิน และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม 

สำหรับหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม ประกอบด้วย บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT,บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ,บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW โดยเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ ส่งผลให้หุ้นอ่อนตัวลงประมาน 7-10% เนื่องจากนักท่องเที่ยวเกิดความวิตก และอาจส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง

ส่วนหุนกลุ่มสายการบิน ระกอบด้วย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ,บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOK ,บริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV และบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA โดยเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ หุ้นอ่อนตัวลงประมาน 5-7%

ส่วนหุ้นที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA รับผลกระทบเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ หุ้นอ่อนตัวลงเกือบ10% 

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด ระบุว่า พรุ่งนี้ (15 ส.ค.) ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการคาดว่าดัชนีจะปรับตัวลงทันทีที่เปิดตลาด หลังมีเหตุการณ์ระเบิดขึ้นในภาคใต้เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา เหมือนกับเหตุการณ์ระเบิดที่แยกราชประสงค์เมื่อปี 2558 ที่ในครั้งนั้น หุ้นไทยปรับลง 28 จุด ดังนั้น วันพรุ่งนี้มีโอกาสที่ดัชนีจะลงไปแตะ 1,535 จุด 

ขณะที่ นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า พรุ่งนี้หุ้นที่คาดว่าจะปรับตัวลงคือกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม สายการบิน เพราะได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิด โดยคาดว่าจะปรับลดลงประมาณ 10% ก่อนที่จะรีบาวน์ขึ้นมาได้ 

 

ดูยัง! 18 หุ้น เลือดไหลไม่หยุด

7 วันราคาทรุดหนักเกิน 20%

ทิศทางตลาดหุ้นนับตั้งแต่วันที่ 1-9 ก.ย.59 รวมแล้ว 7 วัน ทำการ พบว่าตลาดหุ้นไทยมีแรงเทขายอย่างหนัก ส่งผลให้ดัชนีอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1539.71 จุด (1 ก.ย.) อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 1,445.28 จุด (9 ก.ย.) ลดลง 94.43 จุด หรือลดลง 6.13%

ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรงในช่วงดังกล่าวมานำเสนอ โดยครั้งนี้นำเสนอหุ้นที่ร่วงลงแรงเกิน 20% ซึ่งมีทั้งหมด 18 ตัว คือ RICH, ABC, AJD, TCOAT, PERM, BIG, GENCO, THAI, TLUXE, WICE, WORK, IFEC, SLP, MACO, SMT, FER, COM7 และ KKC

ทั้งนี้แม้ราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะร่วงหนัก แต่หากสังเกตหุ้นบางตัวจะเห็นว่ามีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ตรงนี้น่าจะเป็นโอกาสได้ที่นักลงทุนจะได้เก็บหุ้นดีราคาถูก เพราะหุ้นเหล่านี้มีโอกาสเด้งกลับเร็วในยามที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวก็เป็นได้

สำหรับข่าวนี้ถือว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาก เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีหุ้นราคาทรุดอย่างหนัก เนื่องจากดัชนีถูกกดดันจากประเด็นโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐในเดือนก.ย.59

อีกทั้งตลาดขาดปัจจัยบวกหนุนจึงทำให้เกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้นเพื่อลดความเสี่ยงและรอดูรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญและผลประชุมของธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ไม่เพียงเท่านั้นมีผู้ไม่ประสงค์ดีปล่อยข่าวชั่วออกมาถล่มตลาดหุ้นยิ่งทำให้ตลาดร่วงอย่างหนักตลอดช่วงเวลาดังกล่าวนั่นเอง

ทั้งนี้การนำเสนอเรื่องราวดังกล่าวอีกครั้งนั้นก็เพื่อเป็นข้อมูลให้นักลงทุนได้จดจำเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ เพราะหากเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวกลับเข้ามาในตลาดหุ้นอย่างน้อยนักลงทุนก็จะได้เห็นทิศทางและเตรียมรับมือการลงทุนที่เกิดขึ้นในปีต่อๆไปก้เป็นได้

Back to top button