5 หุ้นทอปพิคกลุ่มไอที ฉายแววโดดเด่น!รับผลบวกรัฐอัดฉีดมาตรการไทยแลนด์ 4.0

5 หุ้นทอปพิคกลุ่มไอทีฉายแววโดดเด่น หลังรัฐฯอัดฉีดมาตรการไทยแลนด์ 4.0


หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้จัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ปีงบประมาณ 2559 วงเงิน 125.60 ล้านบาท เพื่อจัดทำโครงการโฆษณา ประชาสัมพันธ์พลิกโฉมประเทศไทยตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นั้น ถือเป็นปัจจัยบวกกับกลุ่มผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับไอที เนื่องจากมาตรการดังกล่าวจะเน้นการใช้เทคโนโลยีและอินเตอร์เนต เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ โดยจะทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้เทคโนโลยีในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

โดย นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้จัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ปีงบประมาณ 2559 วงเงิน 125.60 ล้านบาท ให้กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายไปทำโครงการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมเพื่อพลิกโฉมประเทศไทยตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การจัดนิทรรศการและงานสัมมนาระดับชาติภายในประเทศที่จะจัดขึ้นในวันที่15ก.พ.2560 เพื่อชี้แจงนโยบายด้านการสนับสนุนและดึงดูดนักลงทุน ส่วนอีกด้านเป็นการโฆษณาและประชาสัมพันธ์นโยบาย 4.0 ทั้งในและต่างประเทศ

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ จึงได้ทำการสำรวจบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยดังกล่าว โดยบจ.ที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับไอที และโครงข่ายอินเตอร์เน็ต ที่คาดว่าจะได้รับผลบวกได้แก่ COM7, SAMART, SAMTEL, ILINK และITEL

โดย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (9 ม.ค.) ว่าหุ้นรับกระแสไอที + อินเตอร์เนต (COM7, SAMART, SAMTEL, ILINK, ITEL) โดยประเมินหุ้นในกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากนโยบายไทยแลนด์ 4.0 (เน้นการใช้เทคโนโลยีและอินเตอร์เนต เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ) ได้แก่หุ้นกลุ่มงานวางระบบสื่อสาร อย่าง SAMART,SAMTEL และ ILINK ,ITEL และ COM7 ที่จะได้อานิสงส์ในด้านการขายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ทั้งกลุ่มลูกค้าระดับบน (Studio7 + Banana IT) และล่าง (Banana Sure ขายคอมฯ มือสอง) รวมถึงระบบ Software เพื่อสนับสนุนกลุ่ม Startup แนะนำ “เก็งกำไร” หุ้นในกลุ่มฯ

สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกกับประเด็นดังกล่าว ได้แก่ COM7, SAMART, SAMTEL, ILINK และ ITEL

 

อันดับที่ 1 บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 โดย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ COM7 เป้า Consensus 14.1 บาท สูงสุด 17.5 บาท ที่แนวรับ 13 บาท (Stop loss 12.6 บาท) ในกรณีที่ทะลุผ่านแนวต้าน 13.4 บาทได้ ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 14 บาท (จะยืนยันสัญญาณซื้อต่อเนื่องหากยืนเหนือ 14.2 บาท CBL Count Back Line)

ทั้งนี้ประเมินอุตสาหกรรมค้าปลีกไอที เข้าสู่ขาขึ้น หลังจากคู่แข่งเลิกสงครามราคาที่ใช้มายาวนาน 5 ปี อีกทั้งยังมีนโยบายไทยแลนด์ 4.0 สร้างดีมานด์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์

 

อันดับที่ 2 บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART โดย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ “Outperform” SAMART ราคาเป้าหมาย 14.60 บาท/หุ้น โดยคาดว่ากำไรจะพลิกฟื้นในปี 2560-2561 โดยคาดว่าจะโตถึง 23% CAGR จากการกลับมาดำเนินธุรกิจ ICT solution และบริการโครงข่าย (บวกกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจสาธารณูปโภคและการขนส่ง ในขณะเดียวกัน  ยังมี upside ถึงราคาเป้าหมายอีก 14% และยังมี upside จากโครงการอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน และธุรกิจพลังงานอีกด้วย

 

อันดับที่ 3 บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ SAMTEL โดย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “Fully Valued” SAMTEL ราคาเป้าหมาย 9.50 บาท/หุ้น คำแนะนำในเชิงลบคือ เต็มมูลค่า (Fully Valued) ราคาพื้นฐานประเมินไว้ที่ 9.50 บาท (ด้วย P/E ปี 60 ที่ 19 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง) เป็นการปรับลดจากเดิมที่ 13.10 บาท ซึ่งเป็นผลสะท้อนจากการปรับประมาณการลง ราคาปิดมีส่วนลด (downside) ได้อีก 7% ส่วนแนวโน้มธุรกิจในอนาคตยังมีความไม่ชัดเจนว่าจะประมูลงานได้มากเพียงใด แต่ปี 60 ที่จะมีการเลือกตั้งช่วง พ.ย.-ธ.ค. หากสำเร็จมีงานรัฐขนาดใหญ่ออกมามาก ก็จะทำให้ปี 60 ดีขึ้นในช่วงปลายปี (back loaded)

 

อันดับที่ 4 บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK โดย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) โดยคาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรของ ILINK ในปี 60 จะก้าวกระโดดเป็น 75% เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการวางสายเคเบิลใต้น้ำเกาะสมุย มีมูลค่าโครงการสูงเป็น 2-2.3 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาส 1/60 จะผ่านมติที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี (ครม.) และงานโครงการ Power Substation ที่สุวรรณภูมิ  ซึ่งทั้งสองโครงการนี้เป็นสัดส่วนถึง 29% เทียบกับประมาณการรายได้ปี 60

ทั้งนี้ ปรับเพิ่มราคาพื้นฐานใหม่ของ ILINK เป็น 24.50 บาท สะท้อนการปรับประมาณการผลการดำเนินงานเพิ่มในงวดปี 60 และ 61 ในอัตรา 2% และ 1% ตามลำดับ หลังล่าสุด ILINK แจ้งได้งานปรับปรุงสายส่งระบบ 115 เควี มูลค่า 203.26 ล้านบาท ของกฟภ. ซึ่งเป็นการดำเนินการในนามของกลุ่ม Consortium ศรีชลธร และ อินเตอร์ลิ้งค์เพาเวอร์ ซึ่งคาดว่าจะลงนามสัญญาจ้างเหมาได้ในเดือนม.ค.60 อีกทั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้  ITEL ซึ่ง ILINK ถือหุ้นอยู่ 60% นั้น ยังได้งานการบำรุงรักษาไฟเบอร์ออฟติกครอบคลุมทั้งเขตภาคเหนือและใต้ของไทย 2 โครงการ มูลค่า 125 ล้านบาทด้วย ขณะที่คาดว่าเมื่อมีความคืบหน้าการประมูลโครงการเกาะสมุย ก็อาจจะเป็นแรงกระตุ้นราคาหุ้น (catalyst) ได้ในปีหน้าด้วย

 

อันดับที่ 5 บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL โดย บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” ITEL ราคาเป้าหมาย 15 บาท/หุ้น โดยมองว่าการประกาศงาน O&M โครงข่าย Fiber Optic มูลค่า 125 ล้านบาท คาดจะเป็น Positive Surprise เพราะเป็นโมเด็ลธุรกิจที่เปลี่ยนจากการแบกต้นทุนมาเป็นหากำไร ซึ่งบริษัทมีโอกาสโอกาสขยายธุรกิจ O&M เพิ่มอีกในอนาคต สำหรับให้เช่า Fiber คาดตลาดจะเริ่มให้มูลค่ากับกำไรที่ได้จากลูกค้าใหม่เมื่อเห็นรายได้เติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส

โดยในไตรมาส 4/69-ไตรมาส 1/60 จะเริ่มให้บริการกับ mobile operator รายใหม่ และลูกค้าร้านสะดวกซื้อที่ได้สัญญามาแล้วกว่า 1,000 สาขา ในขณะที่การเติบโตระยะยาวมีโอกาสมากกว่าคาดจากแผนธุรกิจเชิงรุก และโอกาสที่เข้าไปขายการเชื่อมต่อกับตู้ ATM ที่อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อที่บริษัทมีวงจรเชื่อมต่ออยู่แล้ว

ทั้งนี้เริ่มมีความมั่นใจในการเติบโตของรายได้ค่าเช่าโครงข่าย Fiber Optic คาดราว 40%YoY ในปี 2017 (ซึ่งจะมาจากการหาลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่ม utilization rate หนุนรายได้เติบโตราว 8-10% จากไตรมาสก่อนในทุกไตรมาส) โดยในไตรมาส 4/59 จะเริ่มรับรู้รายได้จาก mobile operator รายใหม่ที่เข้ามาเช่าโครงข่าย Interlink Dark Fiber ในเส้นทางภาคใต้เพิ่มขึ้น และไปจนถึงไตรมาส 1/60 คาดจะเติบโตจากการรับรู้รายได้ของลูกค้าที่เป็นร้านสะดวกซื้อ ปัจจุบันบริษัทได้รับสัญญาเข้ามาราว 1,000 สาขา ซึ่งมีโอกาสที่จะได้รับสัญญาเพิ่มจงจรของจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่เข้าไปขายการเชื่อมต่อกับตู้ ATM ที่อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อที่บริษัทมีวงจรเชื่อมต่ออยู่แล้ว

ด้านการเติบโตในระยะยาวมีโอกาสมากกว่าคาด ซึ่งบริษัทวางแผนเพิ่ม utilization rate เป็น 50% ภายใน 5 ปี ซึ่งมากกว่าที่เราคาดการณ์ที่ u-rate 35% ใน 5 ปี (จากปัจจุบันที่ราว 17%) และวางแผนขยับ market share เพิ่มขึ้นเป็น 17% จากปัจจุบันอยู่ที่ 9% หรือขยับขึ้นเป็นอันดับ 4 (รายใหญ่ได้แก่ mobile operator และ CAT/TOT) ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าราว 310 ราย คิดเป็นจำนวน 6,000 จงจร ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก ลูกค้า 242 ราย และ 2,900 วงจรในปีที่แล้ว

Back to top button