TACC จ่อประกาศกำไร Q4 สูงสุดเป็นประวัติการณ์โบรกฯ เคาะเป้า 12.30 บ. รับไฮซีซั่น-ออกสินค้าใหม่

TACC ลุ้นวิ่งทะลุเป้า 12.30 บาท เตรียมประกาศกำไร Q4/59 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังเปิดตัวสินค้าใหม่-ไฮซีซั่นหนุน


TACC ลุ้นวิ่งทะลุเป้า 12.30 บาท เตรียมประกาศกำไร Q4/59 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังเปิดตัวสินค้าใหม่-ไฮซีซั่นหนุน

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์ของ บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC หลังจากเข้าสู่ช่วงประกาศผลการดำเนินงานประจำปี 59 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยมีการคาดการณ์กันว่ากำไรของ TACC จะปรับตัวดีขึ้นทั้งจากไตรมาสก่อนและจากปีก่อน โดยในไตรมาส 4/59 นี้คาดว่ากำไรจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังได้รับแรงหนุนจากการที่บริษัทเปิดตัวสินค้าใหม่ อีกทั้งเป็นช่วงไฮซีซั่น

ด้านราคาหุ้นยังมีอัพไซด์อยู่ถึง 32.26% หลังจากโบรกฯ อัพราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 12.30 บาท ด้านราคาหุ้นปิดตลาดล่าสุดวันที่ (25 ม.ค.) ทรงตัวอยู่ที่ 9.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 19.86 ล้านบาท

โดย บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ยังคงมั่นใจในประเด็นการเติบโตในอนาคตของTACC ทั้งในส่วนของธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ ทั้งจากการเติบโตไปพร้อมกับ 7-11, การเน้นกลยุทธ์เพิ่มตู้กดร้อนในร้านสะดวกซื้อซึ่งมีจำนวนการขายต่อวันที่มากกว่าปั๊มน้ำมัน,ปีหน้ารับผลประโยชน์โดนัทและ Sanrio เต็มปี และตลาดกัมพูชาที่ยอดขาย Zenya ขยายตัวต่อเนื่อง

โดยกำไรในไตรมาส 4/59 คาดจะทำจุดสูงสุดได้ตามคาด และเชื่อว่าแนวโน้มกำไรจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ปัจจุบันราคาหุ้นเทรดบน PEG 0.96 เท่า ซึ่งต่ำกว่าบริษัทที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันอีกมากอย่าง CBG 4 เท่า แนะนำหาจังหวะเข้าทยอยสะสมจากปัจจัยพื้นฐานการเติบโตที่แข็งแกร่ง ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 12.30 บาท

 

ด้านนักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ TACC ในไตรมาส 4/59 จะมีกำไรสุทธิที่น่าประทับใจและสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มาอยู่ที่ระดับ 29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 107% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากจะเป็นการเติบโตตามปัจจัยฤดูกาล และแม้การวางขายสินค้า Sanrio โดยเฉพาะในกลุ่มคอสเมติกส์ และนอนฟู้ดส์ จะได้รับการตอบรับที่ไม่ดีนัก โดยทำรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ยกเว้นส่วนของกลุ่มเครื่องเขียนถือว่าผลงานเป็นที่น่าพอใจ แต่เชื่อว่ากรณีดังกล่าวจะมีผลกระทบจำกัดต่อ TACC เพราะด้วยอายุสัญญาการใช้ตัวการ์ตูน Sanrio ที่ค่อนข้างสั้นเพียง 5 เดือน ระหว่างเดือนส.ค.-ธ.ค.59 รวมถึงได้ใช้กลยุทธ์ลดราคาในช่วงท้ายเดือนธ.ค.59 เพื่อระบายสต็อกให้หมด

อย่างไรก็ตาม คาดว่า TACC จะได้รับการชดเชยทั้งหมดจากการประสบความสำเร็จของสินค้าใหม่อย่างโดนัท สไตล์ญี่ปุ่นที่เริ่มวางขายในร้านเซเว่นฯ ตั้งแต่ปลายเดือนก.ย.59 ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับสินค้า Sanrio และได้เข้าร่วมแสตมป์โปรโมชั่นในเดือนต.ค.59 ส่งผลให้รายได้และกำไรสุทธิเติบโตอย่างน่าประทับใจและยังเป็นไปตามคาดการณ์ โดยคาดกำไรสุทธิปี 59 จะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 102 ล้านบาท เติบโตสูง 50% จากปี 58

สำหรับสินค้าเครื่องดื่มชูกำลังในตลาดกัมพูชา ที่เริ่มวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้แบรนด์ใหม่ Jump Start และจะเริ่มวางขายเครื่องดื่มผงรสชาติทุเรียนและมะม่วงในตลาดจีน ภายใต้แบรนด์ Sawasdee ตั้งแต่เดือนก.พ. เป็นต้นไป จะช่วยหนุนการเติบโตของรายได้จากการส่งออกได้มากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนราว 12% ของรายได้

ทั้งนี้ ได้ปรับเพิ่มกำไรสุทธิของ TACC ในปี 60 ขึ้น 6.2% เป็น 171 ล้านบาท เติบโต 67.7% จากปี 59 จากการรวมสินค้าใหม่ที่เห็นความคืบหน้าชัดเจนมากขึ้นทั้ง Jump Start, Sawasdee และการเป็นซัพพลายเออร์ให้กับร้านกาแฟมวลชน เข้าไปในประมาณการ ซึ่งสามารถชดเชยการปรับลดสมมติฐานของเครื่องกดเครื่องดื่มแบบร้อนที่ล่าช้าได้ทั้งหมด โดยสินค้าเดิมที่มีอยู่ และสินค้าใหม่ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขายไปมุมกาแฟ All cafe จะส่งผลบวกต่อการเติบโตของกำไรได้มากกว่าเครื่องกดเครื่องดื่มแบบร้อน อย่างไรก็ตามประมาณการกำไรดังกล่าวยังคงมี Upside จากสินค้าใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

อีกทั้ง บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยประเมินว่า TACC จะมีกำไรราว 130 ล้านบาทในปีนี้ คิดเป็นกำไรสุทธิ/หุ้น (EPS) ราว 0.22 บาท/หุ้น และมี Upside จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เครื่องดื่มชูกำลังที่ประเทศกัมพูชา เนื่องจากเบื้องต้นมองว่ามูลค่าตลาดที่กัมพูชาอยู่ที่ราว 3 พันล้านบาท/ปี มีอัตรากำไรสุทธิของธุรกิจเฉลี่ย 10-15% และ Upside ของประมาณการจะอยู่ที่การแย่งส่วนแบ่งตลาด โดยทุกๆ ส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้น 1% ประมาณการกำไรของ TACC จะเพิ่มขึ้นราว 2-3% บนพื้นฐานที่ปัจจัยอื่นๆ คงที่

        

*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button