ดีเดย์! APX เทรดครั้งใหม่ ไฉไลกว่าเดิม

ดีเดย์! APX เทรดครั้งใหม่ ไฉไลกว่าเดิม ผู้บริหารมั่นใจโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใน 1-3 ปีข้างหน้า จะช่วนดันรายได้-กำไรให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 มี.ค.) เป็นวันแรกที่หลักทรัพย์บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ APX จะกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ เนื่องจากบริษัทได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของการพ้นเหตุเพิกถอนหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แล้ว โดยในวันนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ปลดเครื่องหมาย SP หลังจากขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ APX ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. 2542

โดยการกลับเข้ามาซื้อขายวันแรกจะไม่มีกำหนดราคาสูงสุดและต่ำสุด ขณะที่ราคาซื้อขายหลักทรัพย์ของ APX ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 ส.ค.2542 ที่ราคา 2.80 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา สถิติในการเข้าเทรดวันแรกของหุ้น Resume Trade ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาให้กลับเข้ามาซื้อขายในตลาดฯ อีกครั้ง หลังจากพ้นเหตุแห่งการเพิกถอนจำนวน 11 บริษัท โดยส่วนใหญ่แล้วราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง

จากตารางข้างต้นจะพบว่าราคาปิด (ก่อน Resume Trade) เทียบราคากลับมาซื้อขายวันแรกมีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดได้ถึง 5,552% นั่นคือบริษัท ดีมีเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DCORP

ทั้งนี้เป็นที่น่าจับตาว่า ราคาหุ้น APX จะสามารถปรับตัวได้ร้อนแรงเช่นเดียวกับสถิติของหุ้น Resume Trade ที่ผ่านมาได้หรือไม่ เนื่องจากหุ้นที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุมัติให้สามารถกลับมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อีกครั้งมักจะสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนเสมอ เพราะไม่มีซิลลิ่ง-ฟลอร์ ทำให้ราคามีความหวือหวากว่าปกติ

ขณะที่ นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APX เปิดเผยถึงแผนการงานในปี 2560 ว่า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทจะดำเนินการต่อเนื่องจากปี 2559 ที่ผ่านมา ตามนโยบาย คือ มุ่งเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เกาะติดกับความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจการท่องเที่ยว ให้ผลตอบแทนที่ดีให้กับริษัทและให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้กับผู้ซื้อโครงการทั้งระยะสั้นและระยะยาว

สำหรับโครงการพัฒนาตามแผนดำเนินงานในปี 60 ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ APX ต่อเนื่องจากปี 2559 มีจำนวน 4 โครงการ มีดังนี้ 1.) โครงการ Mövenpick Resort &Residences ประกอบด้วยอาคารชุดประเภทโรงแรมสูง 34 ชั้น 264 ห้องพัก อาคารชุดพักอาศัย สูง 37 ชั้น 196 ห้องชุด และ Pool Villas 34 หลัง ซึ่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2559 ปัจจุบัน บริษัทได้ขายอาคาร โรงแรม ให้แก่ผู้ลงทุนโรงแรม และคงเหลือห้องชุดในอาคาร Mövenpick Residenes และ Pool Villas บางส่วนคิด เพื่อการขาย และโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2560

2.) โครงการ Sheraton Phuket Grand Bay Resort  ประกอบด้วย โรงแรม Sheraton Phuket จำนวน 183 ห้องพัก มูลค่าโครงการประมาณ 2.19 พันล้านบาท และ Grand Bay Residences เป็น Pool Villas 80 หลัง จำนวน 150 ห้องพัก มูลค่าโครงการประมาณ 2.0 พันล้านบาท กำหนดงานก่อสร้าง และตกแต่งในส่วนของ Residences แล้วเสร็จให้โอน และรับรู้รายได้ประมาณปลายปี 62 และโรงแรม Sheraton Phuket กำหนดงานก่อสร้าง ตกแต่งแล้วเสร็จ เปิดให้บริการประมาณกลางปี 2563 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 4.2 พันล้านบาท

3.) โครงการ Four Points by Sheraton and Vantage Point Residences มีจำนวนห้องพัก 307 ห้องพัก มูลค่าโครงการเมื่อตกแต่งแล้วเสร็จ ประมาณ 1.98 พันล้านบาท กำหนดการตกแต่งแล้วเสร็จและเปิดให้บริการ ประมาณปลายปี 2561 ทั้งนี้จะมีส่วนที่ว่างคงเหลืออีก 4 ไร่ บริษัทจะพัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยชื่อ Vantage Point มีจำนวนห้องชุด 338 ห้องชุด เพื่อการขาย มูลค่าโครงการประมาณ 1.85 พันล้านบาท กำหนดงานก่อสร้างตกแต่งแล้วเสร็จ ประมาณปลายปี 2563 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 3.83 พันล้านบาท

และ 4.) โครงการ Hyatt Centric Phuket Resort & Residences มีจำนวนห้องพัก 170 ห้องพัก มูลค่าโครงการประมาณ 1.44 พันล้านบาท และส่วน Hyatt Residences มีจำนวนห้องชุด 106 ห้องชุดเพื่อการขาย มูลค่าโครงการประมาณ 1.4 พันล้านบาท กำหนดงานก่อสร้าง และตกแต่งแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2563 รวมมูลค่าโครงการประมาณ 2.85 พันล้านบาท

พร้อมกันนี้ด้วยจุดแข็งของบริษัทที่สามารถเลือกซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่มีศักยภาพในราคาที่เหมาะสมทั้งจากกระบวนการบังคับคดีและทั่วๆ ไป เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงเป็นโรงแรมและเรสซิเด้นซ์ พร้อมกับดึงเชนโรงแรมชื่อดังเข้ามาบริหารจัดการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการจะสามารถสร้างรายได้ที่ดีให้กับลูกค้าที่เข้าลงทุน ทำให้ได้รับผลตอบแทนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวที่มั่นคง

ทั้งนี้จากแผนการดำเนินงานที่มีความชัดเจนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทในอนาคตเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ตอกย้ำถึงความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารที่มีความเป็นมืออาชีพที่พร้อมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้อยู่ในระดับแนวหน้าของเมืองไทย ภายใต้จุดขายที่ไม่เหมือนใคร

อนึ่ง APX เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายเป็นอาคารชุดโรงแรม อาคารชุดพักอาศัย และที่ดินจัดสรรพร้อมบ้านพักตากอากาศ รวมถึงให้บริการจัดการให้เช่าห้องชุดหรือบ้านพักตากอากาศ โดยผลประกอบการประจำปี 59 มีกำไรสุทธิ 61.89 ล้านบาท ลดลง 6% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 65.62 ล้านบาท

Back to top button