ไอ้เสือถอย!

*ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังตกอยู่ในภาวะ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” หลังจากปัจจัยบวกใหม่ๆ หดหายไปมาก เพราะรัฐบาลมัวแต่สนใจเรื่องซื้อเรือดำน้ำ มัวแต่จับคนนั่งท้ายกระบะ ยุ่งเรื่องชาวบ้านมากเกินไป จนหลงลืมดูเรื่องเศรษฐกิจอย่างจริงๆ จังๆ ส่งผลให้นักลงทุนกลุ่มต่างๆ เร่งปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงกันถ้วนหน้า สภาพของตลาดหุ้นถึงดูไม่ดีเอาเสียเลยไงล่ะค่ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังตกอยู่ในภาวะ “กลืนไม่เข้า คายไม่ออก” หลังจากปัจจัยบวกใหม่ๆ หดหายไปมาก เพราะรัฐบาลมัวแต่สนใจเรื่องซื้อเรือดำน้ำ มัวแต่จับคนนั่งท้ายกระบะ ยุ่งเรื่องชาวบ้านมากเกินไป จนหลงลืมดูเรื่องเศรษฐกิจอย่างจริงๆ จังๆ ส่งผลให้นักลงทุนกลุ่มต่างๆ เร่งปรับพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยงกันถ้วนหน้า สภาพของตลาดหุ้นถึงดูไม่ดีเอาเสียเลยไงล่ะค่ะ

*ด้วยเหตุนี้ถึงเห็นหุ้นหลายตัวถล่มจมกองเลือดกันดาษดื่น และถ้าดูตามรูปการก็คงทำให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในจังหวะแกว่งตัวลง พร้อมกับแกว่งตัวออกด้านข้าง (ซึมระยะหนึ่ง) “โมนิก้า” จึงขอแนะนำให้คนที่รู้สึกหวั่นใจให้ท่องคำพูดที่ว่า ไอ้เสือถอยให้ขึ้นใจตั้งแต่ตอนนี้! เพราะเป็นคำพูดที่เตือนสติได้ดีสุดในจังหวะหน้าสิ่วหน้าขวาน หลังเหตุการณ์ต่างๆ ไม่เป็นใจเอาเสียเลยเจ้าค่ะ

*ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องโฟกัสไปที่ผลประกอบการไตรมาส 1 เป็นอันดับแรก เพราะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่จะชี้เป็นชี้ตายหุ้นแต่ละตัว รวมทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณให้รู้ว่า ราคาหุ้นอยู่สูงเกินไปหรือเปล่า? ซึ่งเรื่องนี้จะต้องนำไปพิจารณาร่วมกับค่า P/E เกิน 40 เท่าหรือเปล่า? เพราะตลาดหุ้นกลับสู่โหมดเล่นหุ้นพื้นฐาน ค่าพี/อีต่ำอย่างเต็มตัวแล้วนะซี

*งานนี้อย่าได้แปลกใจที่เห็นหุ้นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก บางตัวถูกเทขายอย่างหนักหน่วง เพราะโมเมนตัมการเล่นเที่ยวนี้เน้นปลอดภัย ทำให้หุ้นที่มีการเติบโตสูง แต่มีค่าพีอีสูงเกินไป ไม่สามารถขายสตอรี่ได้อีก บวกกับช่วงหลังหันมาเล่นสัญญาณเทคนิคกันมากขึ้นอีกด้วยแบบนี้ “โมนิก้า” บอกได้ทันทีว่า หากผู้เล่นไม่เก๋าเกมจริงๆ อย่าคิดลองดีเป็นอันขาดนะจะบอกให้

*เหมือนกับในรายของ BEAUTY ถูกถล่มเทขายอย่างหนักหน่วง จนหาทางกลับบ้านไม่เจอ มันเป็นผลพ่วงมาจากประเด็นที่ “โมนิก้า” เกริ่นนำไว้ตั้งแต่ต้น จึงไม่แปลกใจที่วานนี้หุ้นรูดลงมาปิดที่ 9.30 บาท ลบไป 0.60 บาท หรือลงไป 6% ด้วยมูลค่า 1.34 พันล้านบาท เพราะขนาดโดนกดราคาหนักๆ หุ้นยังเทรดบนค่า P/E 45 เท่า บวกกับสัญญาณเทคนิคเสียศูนย์ หุ้นมันจะขึ้นได้อย่างไรล่ะจ๊ะ

*ส่วนในรายของ BANPU ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจากประเทศจีนควบคุมถ่านหินที่สร้างมลภาวะ จึงทำให้ผู้คนจินตนาการไปถึงขั้นที่ว่า รายได้กับตัวเลขกำไรจะมีปัญหา เลยพากันเทขายหุ้นทิ้งอย่างหนักหน่วง จนหุ้นรูดลงมากองอยู่ที่ 19.50 บาท ลบไป 1.10 บาท หรือลงไป 5.30% ด้วยมูลค่า 4.20 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเอฟเฟ็กต์ที่กลุ่มผู้บริหารต้องออกมาแจงด้วยตนเองนะคะ

*อีกหนึ่งรายที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากก็คือ TASCO จู่ๆ ก็ถูกตั้งคำถามเรื่องรายได้กับกำไรเหมือนกับรายข้างต้น จนกลายเป็นฉนวนเหตุให้มีแรงเทขายไหลออกมาเป็นระยะ และถ้าดูตามเนื้อผ้าที่เกิดขึ้นในเที่ยวนี้จะเห็นว่า มันเป็นมุมเดิมๆ ที่เคยเกิดกับหุ้นที่เลยจุดพีคในการทำธุรกิจ วานนี้ถึงถูกเทขายจนรูดหลุดแนวรับลงมากองอยู่ที่ 24.50 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 3.90% ด้วยมูลค่า 680 ล้านบาท จึงมีโอกาสที่หุ้นจะไหลลงไปอีกนะจ๊ะ

*สำหรับกรณีของ PTG อยู่ในข่ายรายได้สวย กำไรเด่น แต่ค่าพีอีอยู่สูงถึง 36 เท่า จึงโดนกองทุนกระทำชำเราแบบมาราธอน หุ้นถึงไหลรูดจากจุดสูงสุด 33 บาทแบบไม่มีเบรก และวานนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ถูกเทขายแบบไม่ยั้ง จนหุ้นรูดลงมากองอยู่ที่ 22.10 บาท ลบไป 1.30 บาท หรือลงไป 5.60% ด้วยมูลค่า 440 ล้านบาท มันทำให้คนที่เข้าซื้อต้องคิดหนักพอสมควรนะจะบอกให้

*ส่วนในรายของ MTLS อาจมีแรงฮึดสู้ให้เห็นเป็นระยะ แต่โพสิชั่นของหุ้นดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แถมราคาหุ้นโค้งตัวลงเรื่อยๆ ย่อมเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ “โมนิก้า” แนะนำให้แฟนคลับถอยไปตั้งหลักเป็นการชั่วคราว เพราะการเด้งกลับจากจุดต่ำสุด 27.75 บาท ขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 29.50 บาท บวกไป 0.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 317 ล้านบาท ยังไม่ได้เป็นการยืนยันการกลับทิศ เพราะของจริงต้องวัดกันที่วันนี้มีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่องอ่ะป่าว?

*เช่นเดียวกับในรายของ IRPC ขึ้นมายืนเหนือแนวต้าน 5.40 บาท ด้วยการปิดที่ระดับ 5.45 บาท บวกไป 0.15 บาท หรือขึ้นไป 2.80%  ด้วยมูลค่า 1 พันล้านบาท อาจทำให้โพสิชั่นของหุ้นดูดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก็จริง แต่เรื่องแบบนี้ก็ต้องดูกันยาวๆ ใช้เวลาแค่สั้นๆ มาตัดสินไม่ได้ ยกเว้นคนที่ชอบทำรอบเป็นประจำ เดี๊ยนมองเป็นจังหวะที่ต้องตามไปดูทุกช็อตนะจะบอกให้

*สำหรับในกรณีของ GCAP ถือเป็นน้องใหม่ที่ยังฟอร์มสด ไม่มีอาการบอบช้ำจากการลงสนาม รวมทั้งยังมีจุดเด่นตรงที่ค่า P/E อยู่แค่ระดับ 17 เท่า พวกนักเล่นไวไฟถึงกระโจนเข้าใส่กันอย่างเมามัน จนหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 3.86 บาท บวกไป 0.32 บาท หรือขึ้นไป 9% ด้วยมูลค่า 193 ล้านบาทแบบชิวๆ แถมเป็นการบวกต่อเนื่อง 6 วันติดแบบนี้ น้องโมขอเตือนให้ระวังตัวกันไว้บ้าง เพราะเมื่อ 2 ปีก่อนก็จบชีวิตลงแถว 4 บาท ทั้งที่ในปีดังกล่าวตัวเลขกำไรก็ออกมาค่อนข้างดีนะจ๊ะ

Back to top button