ข่าวร้าย และข่าวดี

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ระดับ 1,717 .97 จุด


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ระดับ 1,717 .97 จุด

และถือเป็นการปรับลงตามทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย

ปัจจัยลบที่กดดันมาจากนักลงทุนค่อนข้างผิดหวังกับผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ที่ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

และที่สำคัญ ECB ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่

เพียงแต่บอกว่า จะยังใช้ดอกเบี้ยนโยบายในระดับปัจจุบัน (หรืออาจจะปรับลดก็ได้) ไปจนถึงกลางปี 2563

ขณะที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 – 31 ก.ค.นี้

และประเทศไทยน่าจะรับทราบผลในช่วงเช้าของวันพฤหัสฯ ที่ 1 ส.ค.นี้

การประชุมของเฟดครั้งนี้ ก็มีการคาดหมายเช่นกันว่า เฟดน่าจะลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% และไม่น่าจะถึง 0.50% อย่างที่นักลงทุนคาดหวังกันไว้

ที่ผ่านมานักลงทุนคาดหวังกันไว้มากกับ ECB และ เฟด

โดยอยากจะเห็น 2 ธนาคารกลางใช้ “นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย”

ทว่า เมื่อไม่ได้เห็นในสิ่งที่คาดหวัง

ทำให้กระแสเงินทุนเริ่มปรับเปลี่ยนไปตามแผนการลงทุน

เมื่อวันศุกร์ (26 ก.ค.) ค่าเงินบาทของประเทศไทยอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ  โดยไปอยู่ที่ 31.00 บาท ก่อนจะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยไปช่วงปิดตลาดภาคบ่ายมาอยู่ที่ 30.90 บาท

มีประเด็นน่าสนใจเพิ่มเติม

นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิกว่า 4,272 ล้านบาท

หลังจากก่อนหน้านี้มีการเข้าซื้อหุ้นไทยมาโดยตลอด หรือหากวันไหนที่เป็นสลับขายออกมาบ้าง

แต่จะไม่ได้ขายออกมากนัก อาจจะเป็นหลักเพียงร้อยล้าน หรือพันกว่าล้านเท่านั้น

เมื่อวานนี้หุ้นตลาดไทยปิดทำการ

แต่ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดทำการปกติ และส่วนใหญ่จะปิดตลาดปรับตัวลงต่อเนื่องจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

ในท่ามกลางข่าวร้ายนั้น

ยังมีข่าวดีเกิดขึ้นกับประเทศไทย หลังจาก Fitch Ratings (Fitch) ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในการออกตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทระยะยาวจากระดับ “มีเสถียรภาพ (Stable outlook)” เป็น “เชิงบวก (Positive outlook)”

และคงอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในการออกตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทระยะยาวที่ระดับ BBB+

ตราสารหนี้สกุลเงินตราต่างประเทศและสกุลเงินบาทระยะสั้นที่ระดับ F1

และเพดานอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (Country Ceiling) ที่ระดับ A-

ไม่เพียงเท่านั้น

ล่าสุด Moody’s Investors Service หรือ มูดี้ส์ ประกาศผลการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย

โดยปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) จากระดับ “มีเสถียรภาพ (Stable Outlook)” เป็น “เชิงบวก (Positive Outlook)”

และคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+

มูดี้ส์ ปรับมุมมองประเทศไทยเป็นเชิงบวกครั้งนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างประเทศ

และลดต้นทุนทางการเงินของบริษัทจดทะเบียน

และเชื่อว่าบริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (S&P) มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอันดับเครดิตของประเทศไทยในช่วง 3-4 เดือนนี้ หลังจากฟิทช์ เรทติ้งส์ และมูดี้ส์ปรับไปแล้ว

ต้องมาลุ้นกันว่า

ข่าวร้ายกับข่าวดีที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทย

ข่าวไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน

Back to top button