ขึ้นแบบไม่แข็งโมนิก้าและทีมงาน

*ในที่สุดปฏิบัติการไล่ล่าฝันของกองทุนขี้ตืด กับฝรั่งตาน้ำข้าวก็เกิดขึ้นให้เห็นอีกครั้ง พร้อมกับคำกล่าวอ้างเดิมๆ ที่ว่า โอกาสของการเล่นรอบใหม่มาถึงแล้ว! ซึ่งมีการกล่าวอ้างสรรพคุณเยอะแยะไปหมด พอเผลอทีไร มักโดนแทงข้างหลังทุกทีนั้น “โมนิก้า” ถือเป็นข้อมูลชุดเดิมๆ ปัจจัยเดิมๆ เรื่องเล่าเดิมๆ แต่ยังเป็นมุกที่ขายได้ดี มันเป็นเรื่องที่แมงเม่าอย่างคุณๆ ท่านๆ ต้องนำไปวิเคราะห์อีกทีหนึ่งนะจะบอกให้


*ในที่สุดปฏิบัติการไล่ล่าฝันของกองทุนขี้ตืด กับฝรั่งตาน้ำข้าวก็เกิดขึ้นให้เห็นอีกครั้ง พร้อมกับคำกล่าวอ้างเดิมๆ ที่ว่า โอกาสของการเล่นรอบใหม่มาถึงแล้ว! ซึ่งมีการกล่าวอ้างสรรพคุณเยอะแยะไปหมด พอเผลอทีไร  มักโดนแทงข้างหลังทุกทีนั้น “โมนิก้า” ถือเป็นข้อมูลชุดเดิมๆ ปัจจัยเดิมๆ เรื่องเล่าเดิมๆ แต่ยังเป็นมุกที่ขายได้ดี มันเป็นเรื่องที่แมงเม่าอย่างคุณๆ ท่านๆ ต้องนำไปวิเคราะห์อีกทีหนึ่งนะจะบอกให้

*วินาทีนี้ต้องถามใจนักลงทุนรายย่อยว่าทำการบ้านมาดีพอแล้วหรือยัง? เพราะข้อมูลที่ปรากฏล่าสุดทำให้ “โมนิก้า” เกิดอาการกระอักกระอ่วนใจเป็นที่สุด เพราะแพทเทิร์นลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นให้เห็นในช่วงต้นปี 58 ซึ่งตอนนั้นดัชนีลงมาแตะแถว 1,500 จุด ต่อจากนั้นก็เด้งขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,600 จุด แต่ทำได้ดีสุดแค่ขึ้นไปยืนเหนือแนวต้าน 1,580 จุดเท่านั้นเองนะจ๊ะ

*ถัดจากนั้นเป็นต้นมาก็เคลื่อนไหวลักษณะ w-shape ในลักษณะลาดเอียง 45 องศามาเรื่อยๆ และสิ่งที่สร้างความหนักใจให้กับเดี๊ยนมากสุดทุกครั้งที่ดัชนีถีบตัวขึ้นแรงคือ จุดสูงสุดของการเด้งขึ้นต่ำกว่าครั้งก่อนเป็นประจำ ซึ่งเป็นการย้ำหัวหมุดตัวเดิมว่า ดัชนียังติดอยู่ในวังวนเดิมต่อไปอย่างไม่มีกำหนด โดยตัวแปรที่เป็นคนชี้เป็นชี้ตายตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ท่าทีของกองทุนในประเทศ กับฝรั่งตาน้ำข้าวเจ้าค่ะ

*เรื่องนี้สังเกตได้จากพี่เบิ้ม PTT กระชากขึ้นมาปิดที่ 326 บาท บวกไป 9 บาท หรือขึ้นไป 3% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.50 พันล้านบาท “โมนิก้า” ถามจริงๆ ใครจะมีปัญญาไปยกหุ้นขึ้นได้ ถ้าไม่ใช่พวกกองทุน แล้วจะมีก๊วนไหนที่มีหน้าตักเยอะขนาดนี้อีกล่ะ! จึงไม่ต้องมาตั้งคำถามกับเดี๊ยนว่า หุ้นจะขึ้นไปถึงระดับไหน? แต่ควรจะตอบตัวเองให้ได้ว่า ตั้งเป้าจะได้กำไรจากหุ้นตัวนี้กี่เปอร์เซ็นต์ต่างหากนะจ๊ะ

*เช่นเดียวกับในรายของปูนใหญ่ SCC ทุกคนต่างรู้ดีว่า ปัจจัยพื้นฐานแน่นปึ้ก! บวกกับหุ้นยืนปักหลักเหนือแนวรับ 500 บาทมาเกือบ 6 เดือน แถมสถิติเก่ายืนยัน 3-4 ครั้งที่หุ้นลงมาใกล้แนวรับดังกล่าวทีไร หุ้นเด้งกลับขึ้นไปยืน 540 บาทเป็นประจำ อีกทั้งกูรูใหญ่ๆ ให้เป้าราคาไว้ที่ 590 บาท ขณะที่ราคาหุ้นล่าสุดปิดที่ 526 บาท บวกไป 10 บาท หรือขึ้นไป 2% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.12 พันล้านบาท มันเป็นไฟต์บังคับที่กองทุนต้องเล่นไงล่ะค่ะ

*ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับการทะยานขึ้นของหุ้น CPALL ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่คับคั่งไปด้วยนักลงทุนเงินถุงเงินถัง ถามว่า วันนี้มีอะไรดีกว่าวันก่อน “โมนิก้า” ขอตอบว่า ก็เหมือนเดิมกับทุกครั้งที่เห็นกันอยู่ แต่ครั้งนี้พิเศษอยู่นิดหนึ่งคือ หุ้นเปิดกระโดด พร้อมกับเปิดแก๊ป จึงมีความเป็นไปได้ที่หุ้นจะทำ new high ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ต้องดูด้วยว่า แรงซื้อจะมากพอที่ดันดัชนีไหม หลังหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 48 บาท บวกไปแค่ 1 บาทเท่านั้นเอง

*เมื่อกระแสหุ้นบลูชิพมาแรงซะขนาดนั้น หุ้นกลุ่มแบงก์อย่าง KBANK  SCB  BBL  KTB เลยถือโอกาสลบคำสบประมาทของเดี๊ยนในทันที แต่ละตัวพยายามโชว์เพาเวอร์ตลอดทั้งวัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่ติดหุ้นราคาต่ำ ส่วนคนที่ติดหุ้นราคาสูงคงต้องร้องเพลงรอต่อไป เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่า แรงซื้อที่เข้ามาเที่ยวนี้เป็นแค่ระยะสั้นๆ และอย่างดีสุดคงทำได้แค่วิ่งขึ้นไปปิดเสมอบุ๊คแวลู ก็ของมันเห็นกันอย่างทนโท่ว่า สินเชื่อพลาดเป้า! แล้วจะโกยกำไรเหมือนแต่ก่อนได้อย่างไรล่ะจ๊ะ

*ส่วนม้ามืดอย่าง PK ยังเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นสำหรับนักช้อปตัวแม่ ทั้งที่ของมันเห็นกันเต็มสองลูกตาว่า “เหล้าเก่าในขวดใหม่” แต่ยังมีความพยายามดันหุ้นขึ้นมาเทียบชั้นแกนหลักของตลาดหุ้นไทย “โมนิก้า” ถึงไม่อยากเม้าท์อะไรมากมาย เดี๋ยวจะหาว่ามีอคติมากเกินไป เพราะการที่หุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 4.40 บาท บวกไป 0.48 บาท หรือขึ้นไป 12% ด้วยมูลค่า 1.30 พันล้านบาท ย่อมต้องมีอะไรดีซ่อนไว้บ้างแหละ

*กรณีนี้เทียบได้กับหุ้นเก็งกำไรพิมพ์นิยม AJD หากดูตามรูปการณ์ที่เกิดขึ้นจะเห็นว่า หลายคนใจจดใจจ่อกับข่าวดีอะไรบางอย่างที่ร่ำลือกันตามสี่แยกปากสุนัข ซึ่งหากเป็นจริงเหมือนกับที่พรายกระซิบย้ำแล้วย้ำอีก “โมนิก้า” ถือเป็นการโหนกระแสครั้งสำคัญของนักผจญภัย เพราะตัวเลขที่เคาะกันเล่นๆ มันอยู่สูงกว่าเที่ยวนี้ถึงเท่าตัว ขณะที่ราคาล่าสุดหุ้นปิดที่ 1.09 บาท บวกไป 0.12 บาท หรือขึ้นไป 12% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 300 ล้านบาท มันธรรมดาซะที่ไหนล่ะจ๊ะ

*ประเด็นดังกล่าวเชื่อมโยงกับ ASIMAR เพราะเป็นอีกหนึ่งที่มาทรงเดียวกับรายข้างต้น และทุกวันนี้ยังมีข่าวออกมาให้ได้ยินประปราย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครยืนยันเรื่องที่เม้าท์กันสักที ส่วนราคาหุ้นในกระดานก็แกว่งตัวขึ้นๆ ลงๆ ไปตามเรื่องราว ล่าสุดดีดตัวขึ้นมาปิดที่ 3.06 บาท บวกไป 0.38 บาท หรือขึ้นไป 14% ด้วยมูลค่า 200 ล้านบาท แสดงว่า ยังมีขาใหญ่คอยจุดกระแสตลอดเวลา แต่จะเลี้ยงกระแสได้นานแค่ไหน ติดตามดูกันเอาเองนะคะ

*ป.ล.ว่ากันตามตรง ดัชนีขึ้นมาปิดที่ 1,440.12 จุด บวกไป 22.63 จุด ด้วยมูลค่า 3.88 หมื่นล้านบาท แถมเป็นการดันท้ายตลาด ทั้งที่เศรษฐกิจในประเทศยังอยู่ในช่วงชะลอตัวแบบนี้ เขาเรียกว่า “แข็งแต่แรงไม่มี” ขึ้นได้ไม่กี่น้ำ เดี๋ยวก็จอด!

Back to top button