ต่างชาติกลับมาพลวัต2015

การกลับมาซื้อสุทธิระลอกใหม่ของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยติดกัน 2 วันของต้นสัปดาห์นี้ (แม้ว่าจะมีการเทขายสุทธิเมื่อวานนี้บางส่วน) มีความหมายทั้งโดยตรงและโดยนัยหลายประการที่ต้องพูดถึง


การกลับมาซื้อสุทธิระลอกใหม่ของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยติดกัน 2 วันของต้นสัปดาห์นี้ (แม้ว่าจะมีการเทขายสุทธิเมื่อวานนี้บางส่วน) มีความหมายทั้งโดยตรงและโดยนัยหลายประการที่ต้องพูดถึง

เหตุผลสำคัญสุดเพราะต่างชาติคือ กลุ่มนักลงทุนที่มีน้ำหนักต่อการลงทุนและทิศทางของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าจะมีบางคนพยายามดูเบาอิทธิพลดังกล่าว แต่ตัวเลขซื้อขายแต่ละวันที่ระดับมากกว่า 20% ตลอดไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน (บางวันอาจจะทะลักขึ้นไปถึง 30% แม้จะไม่เกิดบ่อยครั้ง) ย่อมมีความหมายที่มากกว่าธรรมดา เพราะนักลงทุนกลุ่มนี้ มีแนวทางการลงทุนแบบกองทุนที่มีน้ำหนักและอิทธิพลต่อตลาดชนิดไม่อาจมองข้ามไปได้

หลายเดือนมานี้ นับตั้งแต่มีแนวโน้มว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย เราได้เห็นแรงเทขายของต่างชาติเกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่มาหนักที่สุดคือเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งต่างชาติขายไปมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท ทำให้ตลอด 8 เดือนแรกของปีนี้ ต่างชาติขายสุทธิมากถึง 8.4 หมื่นล้านบาท

มูลค่าดังกล่าว มากกว่าตัวเลขขายสุทธิ 7 หมื่นล้านตลอดทั้งปี 2557 เลยทีเดียว

ในตอนที่ต่างชาติขายหนักนั้น นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นไทยเกือบทุกสำนัก ประเมินว่า การไหลออกของทุนเก็งกำไรต่างชาตินั้น จะไม่กลับมาง่ายๆ ในหลายเดือนข้างหน้า เพราะสถานการณ์รอบด้านไม่ดี โดยเฉพาะที่สำคัญคือ ค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยยังสูงกว่าค่าพี/อีของตลาดประเทศอื่นๆ

การปรากฏตัวครั้งใหม่ของทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยแม้จะยังไม่มากนักทำลายข้อสรุปของนักวิเคราะห์ไทยได้อย่างหมดจด เพียงแต่การกลับมาครั้งนี้ดูเหมือนจะยังคงตั้งการ์ดรัดกุมพอสมควร ไม่ผลีผลามจน “ไก่ตื่น” คือมีทั้งลูกเล่นใหม่ที่ไม่ดันทุรัง ตะบี้ตะบันซื้อไม่ยั้งแบบเดิมแบบที่เคยกระทำ

นักวิเคราะห์หลายคนยอมรับว่า การกลับเข้ามาของกองทุนต่างชาตินี้ เห็นได้จากค่าเงินบาทที่เริ่มแข็งตัวชัดเจนยิ่งขึ้น และการย่องเข้ามาสถานะ long สุทธิติดต่อกัน 9 วันทำการในตลาดตราสารอนุพันธ์ที่ SET50Futures (เพิ่งจะเริ่มปิดสถานะเมื่อวานนี้วันแรกทำกำไร) ซึ่งสะท้อนลักษณะของการรอจังหวะสัญญาณเข้าลุยเต็มรูปเมื่อถึงเวลา

จุดหักเหที่ต่างชาติกลับเข้ามาเร็วชนิดหักปากกานักวิเคราะห์ไทยย่อยยับ อยู่ที่การร่วงลงอย่างหนักเมื่อสัปดาห์ก่อนของดัชนีตลาดหุ้นไทย ทำให้ค่าพี/อี ต่ำกว่า 16 เท่า เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แม้ว่าจะรีบาวด์กลับมาแรง แต่ก็เริ่มมีลักษณะที่สมเหตุสมผล รอวันกลับฟื้นเป็นขาขึ้น แม้ว่าจะต้องเผชิญกับแรงต้านรอบด้าน

มุมมองของนักลงทุนต่างชาติในรอบนี้ ส่วนหนึ่งหนีไม่พ้นจากความเชื่อมั่นต่อแนวทางของทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชาใหม่เป็นสำคัญ ซึ่งมาพร้อมกับนโยบายเศรษฐกิจใหม่ที่มีลักษณะเชิงรุกมากกว่าตั้งรับแบบที่ทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดเดิมนำโดยม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุลเคยออกแบบเอาไว้ อย่างไม่สอดรับกับสถานการณ์เอาเสียเลย

เป็นเรื่องธรรมดาที่มาตรการเชิงรุกของรัฐบาล มีเสน่ห์จูงใจมากพอสำหรับดึงดูดความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติให้กลับคืนมา เพราะมาตรการที่ออกแบบครุ่นคิดมาอย่างดีด้วยการ กระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะสั้น และวางแนวทางเพื่อการเติบโตในระยะยาว ที่มีรายละเอียดรูปธรรมมากเพียงพอ

มาตรการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเต็มที่หรือไม่ถึงครึ่งของที่ได้วางแนวทางเอาไว้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นปัญหาใหญ่โต เพราะนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทุกแห่ง ล้วนแฝงเจตนาเปิดเกมรุกทางการเมืองไปในตัว ซึ่งหากบรรลุเป้าหมายบางส่วน ก็ถือว่า บรรลุเป้าหมายทางการเมืองแล้ว

นอกจากนั้น โดยข้อเท็จจริงถือว่า ค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยในยามนี้ ไม่แพงจนสุดกู่เหมือนช่วงต้นปี เนื่องจากอยู่ในฐานะที่พอแข่งขันกับตลาดหุ้นอื่นๆ ได้ดีพอสมควร แม้จะไม่ดีที่สุด (ดูตารางประกอบ)

ข้อมูลที่ยกมาจะเห็นได้ชัดว่า ค่าพี/อีของตลาดหุ้นไทยไม่แพงจนขาดเสน่ห์เสียทั้งหมด ยังสามารถลงทุนได้ เพราะบางตลาดที่พี/อีต่ำกว่าไทยนั้น เกิดจากภาวะตลาดภายในที่มีปัญหารวมอยู่ด้วย ไม่ได้เพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

เพียงแต่ในมุมมองของต่างชาตินั้น การเข้าซื้อหุ้นขณะที่ตลาดยังคงเปราะบางต่อปัจจัยโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หรือ ราคาน้ำมัน หรือ ภาวะเศรษฐกิจในจีน ฯลฯ เป็นความเสี่ยงแน่นอน แต่ก็พร้อมเสี่ยงเพราะเหตุว่า ตลาดหุ้นไทย ได้ผ่านความเลวร้ายจนถึงที่สุดมาแล้วนั่นเอง

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดเริ่มแรกของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ซึ่งทำให้มีบริษัทเจ้าของหุ้นในตลาดจำนวนหนึ่งได้รับผลประโยชน์ในลักษณะ “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” มีส่วนทำให้บรรยากาศดีขึ้น จากความเชื่อมั่น ซึ่งต้องยอมรับว่าทำได้ดีพอสมควรในระยะเวลาอันสั้น  เสมือนเติมออกซิเจนให้กับปอด

การที่หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มแบงก์ กลุ่มสื่อสาร และขนส่ง ดีดตัวขึ้นแรง เพราะนักลงทุนต่างชาติคาดว่า จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ  แม้อาจจะไม่ทำให้ดัชนีตลาดฝ่าแนวต้านขึ้นไปได้ไกลมาก แต่ก็ดีกว่าการไม่ทำอะไรในเชิงรุกเสียเลย

แนวโน้มการแกว่งตัวไปข้างๆ ในลักษณะที่นักลงทุนเรียกกันว่า sideway up เกินพอแล้วสำหรับมุมมองที่สดใสต่ออนาคต ซึ่งมีหรือที่ต่างชาติจะมองไม่เห็นโดยเฉพาะกองทุนตลาดเกิดใหม่ที่คุ้นเคยกับความเสี่ยงนักต่อนัก

 ต่างชาติกลับมาพร้อมรับมือกับความเสี่ยงรอบใหม่แม้จะยังไม่มีความชัดเจนว่า มาตรการของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่นี้จะไปได้ไกลแค่ไหน  เพราะมองเห็นว่า โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนคุ้มค่ากับความเสี่ยง เพราะอย่างน้อยก็สามารถสร้างสวรรค์ของการลงทุนได้ ไม่ใช่จมปลักกับตลาดหุ้นที่เป็นนรกสำหรับนักลงทุน

Back to top button