บลจ.ไทยพาณิชย์ ครองเจ้าตลาดกองทุนรวม โชว์พอร์ตมีเงินกว่า 1.3 ล้านล้านบาท

บลจ.ไทยพาณิชย์ ครองเจ้าตลาดกองทุนรวม โชว์พอร์ตมีเงินกว่า 1.3 ล้านล้านบาท


นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารงานรวม 1,291,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128,763 ล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาดที่ 21.3% ตอกย้ำความเป็นที่ 1 ของอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานเชิงรุก (Active) มากขึ้น ด้วยการริเริ่มกลยุทธ์การลงทุนใหม่ๆ การออกกองทุนที่ตอบโจทย์ และการสร้างผลดำเนินงานกองทุนที่ดีอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งทำให้หลายๆ กองทุนทั้งประเภทหุ้นและตราสารหนี้ของบริษัท มีผลงานที่โดดเด่นอยู่ใน First Quartile ของอุตสาหกรรม อาทิ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCBSE) , กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นทุนปันผล (SCBDV), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต (SCBLTT), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สะสมทรัพย์ตราสารหนี้ (SCBSFF), กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สะสมทรัพย์ตราสารหนี้ พลัส (SCBSFF Plus) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ตราสารรัฐตลาดเงิน พลัส (SCBTMF Plus)

แม้ว่าในสถานการณ์การลงทุนที่มีความผันผวนสูง บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนและเพิ่มทางเลือกการลงทุนในหลากหลายรูปแบบ ทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจและมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากขึ้น  อาทิเช่น กองทุนที่เน้นสร้างรายได้ระหว่างทางจากการลงทุนเพื่อทดแทนกองทุนตราสารหนี้ที่ปัจจุบันให้ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ เช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ อิควิตี้ (SCBGIF)กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล อินคัม พลัส (SCBGPLUS)  และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ อินคัมพลัส (SCBPLUS) 

หรือกองทุนที่บริหารโดยใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง (Hedge Strategy) มาช่วยลดความผันผวนของตลาด ที่เรียกกันว่า “Absolute Return” เช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ท เทรด 555 ฟันด์ เอ เป็นกองทริกเกอร์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดขาขึ้น ขาลง หรือ side-way ไม่จำเป็นต้องอาศัยการจับจังหวะการลงทุน Market Timing แบบกองทริกเกอร์ที่ผ่านมา  เนื่องจากใช้ตราสารอนุพันธ์ในการบริหารความเสี่ยงจากปัจจัยของตลาด โดยทริกครั้งแรกเมื่อ 20 มิถุนายน 2559 

จากความสำเร็จทำให้มีความต้องการลงทุนต่อเนื่อง ประกอบกับสภาวะตลาดที่เหมาะสม บริษัทจึงเตรียมเสนอขายกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ สมาร์ท เทรด 555 ฟันด์ บี ในวันที่ 23-25 สิงหาคม 2559 นี้ เพื่อสนองความต้องการดังกล่าว

นอกจากนี้ มีการวางกลยุทธ์การลงทุนแบบ “Thematic Investment” เพื่อหาช่องทางสร้างผลตอบแทนในหุ้นรายตัวที่เข้ากับธีมการลงทุนที่วางไว้ เช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล ดิจิตอล (SCBDIGI) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ยูเอส สมอลแคป (SCBUSSM) กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ยุโรป สมอลแคป (SCBEUSM) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ หุ้นโกลบอลเฮลธ์แคร์ (SCBGHC) ซึ่งกองทุนเหล่านี้ บริษัทฯมองว่าเป็นธีมการลงทุนที่มีศักยภาพเติบโตได้ในระยะยาว จึงเป็นแนวทางการลงทุนที่จะแนะนำสำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ไปจนถึงปีหน้า

นายสมิทธ์กล่าวว่า “นอกจากความพยายามตอบโจทย์นักลงทุนเรื่องกองทุนแล้ว เรายังคำนึงถึงการดำเนินการที่เป็นประโยชน์ด้านอื่นให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น บริษัทได้ดำเนินการขออนุมัติจากผู้ถือหน่วยลงทุนในการควบรวมกองทุนทั้งกลุ่มกองทุนหุ้น กองผสม กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มีนโยบายการลงทุนคล้ายกัน เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนที่ดีขึ้นและลดค่าใช้จ่ายของกองทุนทำให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับประโยชน์สูงสุด โดยขณะนี้ได้รับมติเห็นชอบในการควบรวมแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนการควบรวมกับสำนักงานคณะกรรมการ กลต. และบริษัทฯยังอยู่ระหว่างดำเนินการแปลงสภาพกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (กอง 1) เป็นหน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ซึ่งถือเป็นกองทุนแรกในอุตสาหกรรม”

ทั้งนี้ในด้านการให้บริการ บริษัทเป็นผู้ริเริ่ม Call back verification ในกระบวนการหลังเสนอขายกองทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่านักลงทุนเข้าใจในสิ่งที่ตนลงทุนอย่างถูกต้องและเหมาะสม ด้วยวิธีการติดต่อสอบถามจากเจ้าหน้าที่ Call center ซึ่งมีใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุนหรือผู้วางแผนการลงทุนและบริษัทฯ ได้ปรับปรุง Website ใหม่ ให้มีภาพลักษณ์ทันสมัยและอำนวยความสะดวกด้านข้อมูล ให้สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนได้ง่ายขึ้น โดยรวบรวมรายละเอียดกองทุน การเผยแพร่บทความ เกี่ยวกับ ความรู้เรื่องสภาวะเศรษฐกิจและการลงทุน  ตลอดจนข่าวสารต่างๆ ให้กับนักลงทุนทราบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังพัฒนาการให้บริการข้อมูล Private Fund ผ่านทาง Website โดยลูกค้าสามารถเรียกพอร์ตการลงทุน (Portfolio) หรือรายงานสถานะการลงทุน (Statement) หรืองบการเงินด้วยตนเองได้ รวมทั้งบริษัทฯได้ให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่ผู้ถือหน่วยโดยตรง โดยตั้งเป้าจัดงานสัมมนาให้ความรู้ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกเดือนอีกด้วย

“ในช่วงเวลาที่เหลือจากนี้จนถึงสิ้นปีก็ยังถือเป็นเรื่องท้าทายที่ทีมงานบลจ.ไทยพาณิชย์ต้องสานต่อ เพื่อให้เกิดความสำเร็จแบบยั่งยืน เรายังคงมีนโยบายขยายฐานลูกค้ารายใหม่ผ่านกองทุนรวม กลุ่มลูกค้ารายบุคคลสำหรับกองทุนส่วนบุคคล รวมทั้งกลุ่มลูกค้าองค์กรสำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยให้ความสำคัญกับการนำเสนอการจัด Asset allocation ให้เหมาะสมกับระดับการยอมรับความเสี่ยง และผลตอบแทนการลงทุนที่คาดหวังของนักลงทุนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด และสามารถขยายเป้าหมายการลงทุนไปยังกองทุนที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนสูงขึ้น รวมถึงการแนะนำ Employee’s choices ให้กับสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” นายสมิทธ์กล่าว

ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 (ณ 30 มิถุนายน 2559) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด มี AUM รวม 1,291,842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128,763 ล้านบาท จากสิ้นปี 2558 อยู่ที่ 1,163,079 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 11.1% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี2559 ทั้งปีที่ 100,000 ล้านบาท โดยธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) มี AUM สูงถึง 310,205 ล้านบาท เติบโต 26.6% จากสิ้นปี 58 อยู่ที่ 245,035 ล้านบาท  มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 44.2%   ขณะที่ธุรกิจกองทุนรวมมี AUM อยู่ที่  865,347 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้มีมูลคาของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน 142,468 ล้านบาท ส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมี AUM อยู่ที่ 116,290 ล้านบาท (ที่มา : สมาคมบริษัทจัดการลงทุน)

Back to top button