คัด“ข่าวเด็ด-ข่าวเด่น”โดนใจเม่าปี 59จัดหุ้นขึ้นแรง-ปันผลสูง 5 ปีซ้อนจี๊ดสุด

คัด“ข่าวเด็ด-ข่าวเด่น”โดนใจเม่าปี 59 จัดหุ้นขึ้นแรง-ปันผลสูง 5 ปีซ้อนจี๊ดสุด


ปี 2559 ที่ผ่านมา “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จะนำเสนอข้อมูลราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงประจำ 1 เดือนและ 2,3,4,5,6,7,8,9,10,11 เดือนมาจัดอันดับ ขณะเดียวกันยังนำเสนอกลุ่มหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง และถ้ามีตารางสถิตย้อนหลังการจ่ายเงินปันผลสูงและดีต่อเนื่องจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก โดยตลอดปี 59 ที่ผ่านมาได้นำเสนอข่าวในรูปแบบดังกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งข่าวเด็ด-ข่าวดีโดนใจนักลงทุนและสนใจเข้ามาอ่านเป็นจำนวนมากมีดังนี้

 

7 หุ้นปันผลสูง ราคาถูกเกินพื้นฐาน

ทางเลือกปลอดภัยช่วงตลาดขาลง

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (6 ม.ค.59) ว่า ตลาดหุ้นไทยเริ่มต้น 2 วันทำการแรกของปี 2559 ไม่สวยนัก โดยดัชนีปรับตัวลดลงไปกว่า 2.7% สอดคล้องกับข้อมูลทางสถิติที่ว่า SET มีโอกาสที่จะปรับตัวลงในช่วง 1-3 วันทำการแรกของปี

อย่างไรก็ตาม การที่ดัชนีลดลงมาใกล้บริเวณ 1,250 จุด ทำให้ Expected P/E ณ สิ้นปี 59 อยู่ในระดับต่ำเพียง 13.3 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน กล่าวคือ ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่ 13.2 เท่า แต่ต่ำกว่าตลาดหุ้นมาเลเซียที่ 14.3 เท่า และฟิลิปปินส์ที่ 15 เท่า และหากพิจารณาดัชนีเป้าหมายที่ 1,466 เท่า พบว่าดัชนียังมี upside อีกกว่า 17%

จึงอาจกล่าวได้ว่า SET index มี downside risk ที่จำกัดแล้ว จึงน่าจะเป็นโอกาสที่เหมาะสมในการลงทุนระยะกลาง-ยาว นอกจากนี้ ยังสามารถคาดหวัง dividend yield ได้ในระดับสูง เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลงมามากเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน โดยฝ่ายวิจัยได้คัดเลือกหุ้นปันผลสูงที่มีการจ่ายปันผลเป็นเงินสดสม่ำเสมอในรอบ 5 ปีหลังสุด ทั้งยังมีโอกาสสูงที่จะได้ Capital Gain จากการปรับขึ้นของราคาในช่วงก่อนวันขึ้น XD ราว 3 เดือน รายชื่อหุ้นที่ฝ่ายวิจัยแนะนำ แสดงดังตารางด้านล่าง

ตารางหุ้นปันผลสูง และมีการจ่ายปันผลติดต่อกัน 5 ปีที่ผ่านมา

div2016

 ที่มา: บทวิเคราะห์ Market Talk

บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า สำหรับ INTUCH และ ADVANC นักวิเคราะห์กลุ่มสื่อสารได้มีการปรับประมาณการกำไรลง ส่งผลให้อัตราเงินปันผลลดลงเหลือราว 7% แต่ยังเป็นอัตราที่สูงเป็นลำดับต้นๆ ของตลาด ทั้งยังมี upside เหลืออยู่สูงมาก โดย INTUCH upside สูงถึง 48.6% ส่วน ADVANC upside กว่า 26% นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงๆ สามารถเข้าซื้อสะสมได้

 

 

รวยกันถ้วนหน้า! 20 หุ้นวิ่งแรงในรอบ 5 เดือน

รับรีเทิร์นเกิน 50% แถมแข็งแกร่งกว่าตลาดฯ

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ SET ช่วง 5 เดือนแรกของปี 2559 โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 30 ธ.ค.58-31 พ.ค.59 ซึ่งการสำรวจครั้งนี้นำเสนอหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงเกิน 50% เท่านั้น เนื่องจากเห็นว่าหุ้นเหล่านี้มีผลตอบแทนที่โดดเด่นและน่าสนใจ

ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มนี้ยังให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด เห็นได้จากการปรับตัวของดัชนีในช่วง 5 เดือน ที่เพิ่มขึ้น 10.57% โดยเทียบดัชนี ณ วันที่  30 ธ.ค.58 อยู่ที่ระดับ 1,288.02 จุด เพิ่มขึ้น 136.26 จุด มาที่ระดับ 1424.28 จุด ณ วันที่ 31 พ.ค.59 อย่างไรก็ตาม การที่ราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจึงเสี่ยงต่อการถูกขายทำกำไร นักลงทุนจึงควรพิจารณาในการเข้าลงทุนเพิ่ม

สำหรับหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมีทั้งหมด 20 ตัว ประกอบด้วย BIG, CRANE, THAI, TKN, MALEE, KTP, GL, EASON, TPBI, SMPC, COM7, VIH, CPF, BSBM, BWG, IVL,TOG, M-CHAI, CPH และ PTL

ตารางหุ้นที่ให้รีเทิร์น 5 เดือนแรกของปี 2559 เกิน 50%

table20160609

อันดับ 1 บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 132% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค.58 อยู่ที่ระดับ 1.55 บาท บวก 2.05 บาท มาอยู่ที่ 3.60 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.59 การที่ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงในรอบ 5 เดือน มีปัจจัยหลายด้านอาทิ แผนงานธุรกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง และผลการดำเนินงานที่สดใส และโบรกเกอร์แนะนำให้ลงทุนยิ่งเป็นแรงหนุนให้หุ้นปรับตัวขึ้นแรง

โดยกำไรไตรมาส 1/59 ที่พลิกมีกำไร 234.21 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 2.86 ล้านบาท อีกทั้งแผนงานบริษัทในช่วงไตรมาส 2/59 จะมีการเติบโตค่อนข้างดีกว่าช่วงเดียวกันกับปีก่อน เนื่องจากยอดขายยังมีการขยายตัวได้ดีและโบรกเกอร์แนะนำให้ลงทุนยิ่งเป็นแรงหนุนให้หุ้นปรับตัวขึ้นแรง

บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองปีนี้เป็นปีทองของ BIG จากตลาดกล้อง Mirrorless ยังขยายตัวแรงเป็นระดับ 100% จากงวดปีก่อน และ BIG อยู่ในสถานะกึ่งผูกขาดชั่วคราว จากคู่แข่งที่ลดลงและจำนวนสาขาที่มากสุดในประเทศ ส่งผลให้ยอดรีเบทและอัตรากำไรขยายตัวขึ้น นอกจากนี้ปรับกลยุทธ์อุดตัวถ่วงทั้งกล้อง DSLR ที่ขายน้อยลงเพราะอัตรากำไรต่ำและร้าน BIG Mobile ที่จะพลิกมามีกำไรในครึ่งหลังปี 59 จากการเปิดพื้นที่บางส่วนให้ผู้ประกอบการมือถือ และธุรกิจพิมพ์ภาพดิจิตอลจะเข้ามาเติมเต็มให้ธุรกิจขายกล้องเดิมมีความครบวงจรมากขึ้น 

 

อันดับ 2 บริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน) หรือ CRANE ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 104% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค.58 อยู่ที่ระดับ 1.55 บาท  บวก 2.05 บาท มาอยู่ที่ 3.60 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.59

การที่ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงในรอบ 5 เดือน มีปัจจัยหลายด้านอาทิ ผลการดำเนินงานปีนี้จะเทิร์นอะราวด์ จากปีก่อนที่ขาดทุนราว 45.19 ล้านบาท ตามทิศทางงานก่อสร้างขยายตัว ขณะเดียวกันเดินหน้าดีลงานใหม่ในประเทศต่อเนื่องเสริมรายรับอนาคต นอกจากนี้บริษัททุ่มงบ 200 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเครื่องจักรใหม่เพิ่มเติม เพื่อเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้เช่าเครื่องจักรปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง 

 

อันดับ 3 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 95% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค.58 อยู่ที่ระดับ 9.20 บาท บวก 8.80 บาท มาอยู่ที่ 18.00 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.59

พิจารณาราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงในรอบ 5 เดือน มีปัจจัยหลายด้านอาทิ ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงส่งผลให้ต้นทุนเชื่อเพลงลดลง ส่งผลให้นักวิเคราะห์ออกมาประเมินว่าปี 59 จะพลิกมาเป็นกำไร ขณะเดียวกันมาตรการภาครัฐที่ช่วยหนุนการท่องเที่ยวทำให้ยอดผู้โดยสารมีจำนวนมาก อีกทั้งการประกาศผลกำไรไตรมาส 1/59 มีกำไรสุทธิ 6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.54 พันล้านบาท

ซึ่งเป็นไปตามดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงอนาคตการบินไทยว่า “ผลประกอบการจะดีขึ้น คาดว่าพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเริ่มเทคออฟในปีนี้ เข้าใจว่าปีนี้การบินไทยจะมีกำไร และจะมีกำไรต่อเนื่องไปในอีก 5-10 ปีข้างหน้า” ตรงนี้ยิ่งทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

ก่อนจะมีข่าวออกมาหลังจากที่ทางบริษัทได้ประกาศผลการดำเนินงานดังกล่าวว่า THAI ได้ขายเครื่องบิน A340-500 ให้กับกองทัพอากาศ มูลค่า 1.75 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการที่บริษัทสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ในไตรมาส 1/59 

 

อันดับ 4 บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น  67% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค.58 อยู่ที่ระดับ 8.55 บาท บวก 5.75 บาท มาอยู่ที่ 14.30 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.59

การที่ราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงในรอบ 5 เดือน ส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนในเรื่องทิศทางธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปีนี้มั่นใจยอดขายจะเติบโตในระดับ 10-15% โดยจะเน้นกลยุทธ์การสร้างกลุ่มลูกค้ารายใหม่ ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น  โดยปีนี้มั่นใจยอดขายจะเติบโตในระดับ 10-15%

อีกทั้งช่วงท่านมาผลประกอบการไตรมาส 1/59 มีกำไรสุทธิ 160.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 213.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 51.31 ล้านบาท  บวกกับบทวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อยิ่งเป็นแรงหนุนให้ราคาปรับตัวขึ้นแรง

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะ “ซื้อ” หุ้น TKN มองเป็นหุ้นประเภท growth stock โดยคาดกำไรสุทธิทั้งปี 59 ที่ประมาณ 601 ล้านบาท (+51.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยยอดขายสามารถเติบโตได้ดีจากการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน, อินโดนีเซีย และประเทศแถบ CLMV

อีกทั้งบริษัทยังมีแผนการสร้างเถ้าแก่น้อยแลนด์อีกสองสาขาและการเพิ่มสินค้าใหม่อย่างสาหร่ายอบ ซึ่งคาดจะสามารถช่วยให้ยอดขายของบริษัทเติบโตได้อีกในปีนี้ นอกจากนั้น ยังคาดอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากปีก่อนจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต มากกว่านั้นยังมีมุมมองในเชิงบวกต่อผลประกอบการปี 60 จากการเปิดใช้งานโรงงานใหม่ในนิคมโรจนะอีกด้วย ประเมินมูลค่าพื้นฐานบริษัทที่ 17.20 บาท 

 

อันดับ 5 บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 67% จากราคา ณ วันที่ 30 ธ.ค.58 อยู่ที่ระดับ 28.50 บาท  บวก 19.00 บาท มาอยู่ที่ 47.50 บาท ณ วันที่ 31 พ.ค.59

โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวแรงในรอบ 5 เดือน ส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนในเรื่องแผนงานในเรื่องธุรกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและมีกำไรเพิ่มขึ้นทำให้นักลงทุนมั่นใจเข้าลงทุน ประกอบกับนักวิเคราะห์ที่แนะนำให้ซื้อหนุนอีกทาง

โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/59 มีกำไรสุทธิ 109.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 85.04 ล้านบาท บริษัทคาดว่ารายได้และกำไรสุทธิปีนี้จะดีที่สุดในรอบ 4 ปี โดยกลางปีนี้เตรียมปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ตั้งเป้าเติบโตราว 15% หลังจากไตรมาส 1/59 รายได้เติบโตแล้วกว่า 20%

บล.ทิสโก้ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” MALEE เพื่อลงทุนในระยะยาวจากผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องจากการขยายตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้นอีกทั้งเริ่มส่งสินค้าเข้าตลาดฟิลิปปินส์ในปีนี้หลังจากร่วมเป็นพันธมิตร โดยปรับราคาหุ้นพื้นฐานใหม่เพิ่มขึ้น 17% เป็น 47 บาท จาก 40 บาท อ้างอิง P/E  Sector เฉลี่ย ที่ 15 เท่า โดยราคาปัจจุบันเทรดที่ P/E ปี 2016 ที่ 14.5 เท่า โอกาสคือกระแสความใส่ใจดื่มเพื่อสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ความเสี่ยงได้แก่ 1) การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น 2) การปรับภาษีสรรพสามิตส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม  

Back to top button