เปิด 25 หุ้นสุดโหด! กำไรปี 59 โตเกินเท่าตัว

เปิดชื่อ 25 หุ้นสุดโหด! กำไรปี 59 โตทะยานเกิน 100% ด้านผลประกอบการปี 60 ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รับเศรษฐกิจเริ่มขยายตัว-ปัจจัยหนุนตลาดเพียบ


เปิดชื่อ 25 หุ้นสุดโหด! กำไรปี 59 โตทะยานเกิน 100% ด้านผลประกอบการปี 60 ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รับเศรษฐกิจเริ่มขยายตัว-ปัจจัยหนุนตลาดเพียบ

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ทั้งตลาด เอ็ม เอ ไอ (mai) และ SET ในช่วงประกาศผลประกอบการประจำปี 2559 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกจากหุ้นที่ผลการดำเนินงานปี 2559 กำไรเติบโตเกิน 100% และเป็นบริษัทที่มีสภาพคล่อง ประกอบด้วย

งบบบบบบบ

 

เริ่มต้นที่อันดับ 1บริษัท คราวน์ เทค แอดวานซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ AJD รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 355.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,473% จากปีก่อนกำไร 6.38 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในช่วงดังกล่าวปรับตัวขึ้นเนื่องจาก บริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 2.56 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 789.23 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 44.62

ขณะเดียวกันบริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการในปี 60 น่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการเดินหน้าธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า และธุรกิจตู้เติมเงินออนไลน์ เอเจเติมสบาย โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ที่ 40,000 เครื่อง  รวมถึงการขยายไลน์ธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจการให้บริการตู้ขายน้ำอัตโนมัติและตู้น้ำลิตร ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินธุรกิจได้ภายในไตรมาส 1/60

อีกทั้งธุรกิจบริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Money) ให้บริการในรูปแบบบัตร และ/หรือโปรแกรมในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อชำระค่าสินค้า และบริการได้ทั้งแบบออนไลน์ และตามร้านค้าที่รับชำระต่างๆ คาดว่าในช่วงไตรมาส 4/60 จะสามารถดำเนินธุรกิจได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาระบบงานของเงินอิเล็กทรอนิกส์สำหรับขออนุญาตต่อหน่วยงานกำกับเพื่อประกอบธุรกิจเงินอิเล็กทรอนิกส์

โดยราคาหุ้นบริษัท คราวน์ เทค แอดวานซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ AJD ปิดวันที่ (3 มี.ค.) อยู่ที่ 1.70 บาท ลบ 0.03 บาท หรือ 1.73% สูงสุด 1.73 บาท ต่ำสุด 1.70 บาท มูลค่าการซื้อขาย 53.87 ล้านบาท

 

อันดับ 2 บริษัท 2 เอส เมทัล จำกัด (มหาชน) หรือ 2S รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 343.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 917% จากปีก่อนมีกำไร 33.72 ล้านบาท ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในช่วงดังกล่าวปรับตัวขึ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้รวมจากการขายเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนจากการขายลดลง

โดยราคาหุ้นบริษัท 2 เอส เมทัล จำกัด (มหาชน) หรือ 2S  ปิดวันที่ (3 มี.ค.) อยู่ที่ 8.45 บาท ลบ 0.15 บาท หรือ 1.74% สูงสุด 8.60 บาท ต่ำสุด 8.40 บาท มูลค่าการซื้อขาย 10.02 ล้านบาท

 

อันดับ 3 บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS รายงานผลการดำเนินงานปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 32.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 849% จากปีก่อนมีกำไร 3.39 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้รวมเพิ่มขึ้นตามการขยายงานเพิ่มมากขึ้นทั้งในส่วนของงานภาครัฐตามนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลและการลงทุนของภาคเอกชนที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัทร่วม

ขณะเดียวกันบริษัทมั่นใจว่าปี 60 ผลประกอบการจะเป็นการทำนิวไฮในรอบ 30 ปี ต่อเนื่องจากปี 59 ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ ประมาณ 500 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้เติบโต 10%

สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานบริษัทยังคงเดินหน้าเสนองานในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น เน้นยกระดับการบริหารควบคุมโครงการก่อสร้างในรูปแบบของ PPS โดยใช้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ติดตามงานและรายงานความคืบหน้าของโครงการด้วยโปรแกรม Project Live ที่บริษัทพัฒนาขึ้น รวมถึงการขยายธุรกิจของบริษัทลูก PPSD และ Swan & Maclaren ในส่วนงานบริการด้านการออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมอย่างต่อเนื่อง

โดยราคาหุ้นบริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS ปิดวันที่ (3 มี.ค.) อยู่ที่ 1.56 บาท ลบ 0.09 บาท หรือ 5.45% สูงสุด 1.67 บาท ต่ำสุด 1.56 บาท มูลค่าการซื้อขาย 34.34  ล้านบาท

 

อันดับ 4 บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KOOL รายงานผลการดำเนินงานปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 87.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 984% จากปีก่อนมีกำไร 8.03 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทรายได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นโดยเกิดจากยอดขายในสาขาของช่องทางห้างเติบโตขึ้น และมีการขยายตัวไปยังห้างเทสโก้ โลตัส รวมทั้งในช่องทางตัวแทนจำหน่ายและช่องทางออนไลน์อัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้น จากการขยายฐานลูกค้า และรักษาฐานลูกค้าเดิมให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันบริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโตต่อเนื่องอย่างก้าวกระโดดไปที่ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาทในปี 63  เนื่องจากริษัทเตรียมเปิดตัวสินค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้านอกเหนือจากพัดลมไอเย็น ในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ โดยบริษัทคาดหวังที่สร้างสัดส่วนรายได้ราว 20% ของรายได้รวม เพื่อที่จะชดเชยยอดขายที่หายไปในครึ่งปีหลัง หรือช่วงฤดูฝน และ ฤดูหนาว เพื่อเป็นการสร้างเสถียรภาพของรายได้

นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 9.78% เนื่องจากบริษัทมีการบริหารจัดการเรื่องของต้นทุนได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะในเรื่องของค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่ายอดขาย ในขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีการประกันความเสี่ยงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อที่จะไม่ให้มีผลขาดทุนเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นในปี 58

โดยราคาหุ้นบริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)หรือ KOOL ปิดวันที่ (3 มี.ค.) อยู่ที่ 8.05 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง สูงสุด 8.20 บาท ต่ำสุด 8.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 83.39 ล้านบาท

 

อันดับ 5 บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำรสุทธิ 669.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 726% จากปีก่อนมีกำไร 80.95 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งธุรกิจแป้งมันสำปะหลังทั้งในและต่างประเทศ ประกอบมีต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ปรับตัวลดลง

ขณะเดียวกันบริษัทวางเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV ได้แก่ ประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ซึ่งมีแนวโน้มเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง และยังมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการวัตถุดิบของบริษัท และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นการสร้างฐานการเติบโตของรายได้และกำไรของบริษัท ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป

โดยราคาหุ้นบริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC ปิดวันที่ (3 มี.ค.) อยู่ที่ 9.75 บาท ลบ 0.15 บาท หรือ 1.52% สูงสุด 9.90 บาท ต่ำสุด 9.70 บาท มูลค่าการซื้อขาย 18.92 ล้านบาท

 

อันดับ 6 บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGH รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 391.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 550% จากปีก่อนมีกำไร 60.19 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีกำไรจากการขายเงินลงทุนเผื่อขายและกำไรจากการขายเงินลงทุนเพื่อค้าเพิ่มขึ้นจำนวน 37.02 ล้านบาท และ จำนวน 23.34 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะเดียวกันบริษัทมีรายได้จากค่าธรรมเนียมและการบริการที่เพิ่มขึ้น ขณะที่มีค่าใช้จ่ายลดลงจำนวน 137.70 ล้านบาท หรือ 12.88%

โดยราคาหุ้นบริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ CGH ปิดวันที่ (3 มี.ค.) อยู่ที่ 1.59 บาท บวก 0.03 บาท หรือ 1.92% สูงสุด 1.59 บาท ต่ำสุด 1.57 บาท มูลค่าการซื้อขาย 0.50 ล้านบาท

 

อันดับ 7 บริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SGF รายงานผลการดำเนินงานปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย)มีกำไรสุทธิ 105.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 506% จากปีก่อนมีกำไร 17.42 ล้านบาท

โดยผลการดำเนินงานช่วงดังกล่าวปรับตัวขึ้น เนื่องจากมีรายได้จากการให้สินเชื่อเงินให้กู้ยืม รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ อีกทั้งยัฝมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง

ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมเดินหน้าเข้าซื้อกิจการเพื่อรุกขยายสาขาและขยายฐานลูกค้าในพื้นที่ต่างจังหวัดให้เพิ่มมากขึ้นและมีความต่อเนื่อง เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากปัจจุบันที่มีการให้เงินกู้ทางธุรกิจที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน โดยจะเน้นไปยังธุรกิจเช่าซื้อ การรับจำนำทะเบียน สินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ บ้านและที่ดินให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายขยายสาขาให้ได้ 50-60 สาขา ภายในสิ้นปี 60 เพื่อรองรับความต้องการสินเชื่อรายย่อยในพื้นที่ต่างจังหวัดยังมีอีกมาก ซึ่งมั่นใจว่าเป้าหมายปล่อยสินเชื่อภายในปีนี้ที่ระดับ 2 พันล้านบาท

โดยราคาหุ้นบริษัท สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SGF ปิดวันที่ (3 มี.ค.) อยู่ที่ 0.43 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง สูงสุด 0.43 บาท ต่ำสุด 0.42 บาท มูลค่าการซื้อขาย 12.54 ล้านบาท

 

อันดับ 8 บริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CNT รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 140.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 506% จากปีก่อนมีกำไร 23.19 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานช่วงดังกล่าวปรับตัวขึ้นขึ้น เนื่องจากการบริหารงานจัดการโครงการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพและการโอนกลับประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการก่อสร้างบางโครงการซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นสืบเนื่องจากการบริหารโครงการเหล่านี้ที่ดีขึ้น

โดยราคาหุ้นบริษัท คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CNT ปิดวันที่ (3 มี.ค.) อยู่ที่ 4.42 บาท ลบ 0.04 บาท หรือ 0.90% สูงสุด 4.48 บาท ต่ำสุด 4.36 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.23 ล้านบาท

 

อันดับ 9 บริษัท บีจีที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BGT รายงานผลการดำเนินงานปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 39.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 459% จากปีก่อนมีกำไร 7.08 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายจำนวน 843.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97.10 ล้านบาท หรือ 13.00% ซึ่งบริษัทได้นำเสนอสินค้าที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ขณะที่กำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 15.54% เนื่องจากบริษัทจัดรายการส่งเสริมการขายและบริษัทบริหารต้นทุนขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยราคาหุ้นบริษัท บีจีที คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BGT ปิดวันที่ (3 มี.ค.) อยู่ที่ 1.85 บาท ลบ 0.03 บาท หรือ 1.60% สูงสุด 1.89 บาท ต่ำสุด 1.85 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.68 ล้านบาท

 

อันดับ 10 บริษัท โพสโค-ไทยน๊อคซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ INOX รายงานผลการดำเนินงานปี 59 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.59 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 588.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 391.34 ล้านบาท จากปีก่อนมีกำไร 119.87 ล้านบาท

ทั้งนี้ผลการดำเนินงานไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้รายได้จากการขายเหล็กสเตนเลสรีดเย็นเพิ่มขึ้นมาที่ 13,709.9 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดขายของปี 2558 ที่มีจำนวน 11,705.4 ล้านบาท ขณะที่บริษัทต้นทุนทางการเงินลดลง

โดยราคาหุ้นบริษัท โพสโค-ไทยน๊อคซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ INOX ปิดวันที่ (3 มี.ค.) อยู่ที่ 2.22 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 4.31% สูงสุด 2.30 บาท ต่ำสุด 2.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 11.09 ล้านบาท

 

อนึ่ง ผลประกอบการของบจ.ในปี 59 ทั้งหมด 659 บริษัท มีกำไรสุทธิ 8.8 แสนล้านบาท โตขึ้น 26.5% ซึ่งถือว่าเป็นระดับสูงเมื่อเทียบกับปี 58 โดยการเติบโตดังกล่าวเป็นการเติบโตแบบกระจายในทุกกลุ่ม รวมไปถึงบจ.มีโครงสร้างที่ดีและมีระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในระดับที่เหมาะสมและแข็งแรง จึงแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมามีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน

ขณะที่ในเดือน มี.ค.60 คาดว่าตลาดจะอยู่ในทางขาขึ้น โดยปัจจัยพื้นฐานยังมีแนวโน้มเชิงบวก รวมไปถึงเหล่านักวิเคราะห์ที่ทยอยปรับประมาณการณ์กำไรตลาดและ GDP ปี 2560 ขึ้น ตามแรงส่งของการส่งออก และการบริโภคที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะที่เข้าฤดูกาลของการจ่ายปันผล (Dividend Season) ที่คาดว่าอัตราผลตอบแทนของตลาดไทยสูงกว่า 3% เป็นปัจจัยหนุนในการลงทุน ซึ่งบจ.ที่กำไรมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดที่กล่าวมาข้างต้น นั้น มีโน้มที่ผลประกอบการจะออกมาสดใสอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button