SEAFCO งานฐานรากปัง! ฟันรายได้กระฉูด ซิวงานรัฐ-เอกชนเพียบ

SEAFCO ปีนี้งานฐานรากปัง! รายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ทะลุ 2 พันลบ. ลุยประมูลงานภาครัฐ-เอกชนเพียบ โบรกฯ ชู Top Pick กลุ่ม - P/E ต่ำ อัพไซต์หรู


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์ของบริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงวานนี้ (27 มี.ค.) โดยมาปิดที่ 11.70 บาท ปรับตัวขึ้น 0.50 บาท หรือ 4.46% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 63.39 ล้านบาท โดยราคาหุ้นได้มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นนั้น คาดได้รับปัจจัยบวกจากงานภาครัฐและเอกชนที่ออกมามาก จึงทำให้การแข่งขันฐานรากในตลาดลดลง จึงเป็นโอกาสทองสำหรับบริษัทในการคว้างาน ส่งผลให้ในปีนี้บริษัทเตรียมรู้ Backlog ราว 1.5 พันล้านบาท และคาดว่ารายได้ในปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ และเตรียมประมูลงานใหม่ต่อเนื่องอีกกว่า 4 พันล้านบาท

จากปัจจัยบวกดังกล่าวเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้น อีกทั้งค่า P/E อยู่ที่ระดับ 21.94 เท่า ณ วันที่ 24 มี.ค.60 ซึ่งต่ำกว่ากลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง อยู่ที่ 24.56 เท่า แถมราคาหุ้นยังมีอัพไซด์สูงถึง 15.38% จากราคาเป้าหมายที่ 13.50 บาท พร้อมด้วยโบรกเกอร์ชั้นนำ 3 แห่ง ประสานเสียงเชียร์ “ซื้อ” และได้ยกให้ SEAFCO เป็น Top pick ของกลุ่มรับเหมา จึงเป็นโอกาสที่ดีให้นักลงทุนเข้ามาเก็บหุ้น SEAFCO รอบใหม่อีกครั้ง

 

โดย นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ SEAFCO เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 60 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท หลังจากที่งานก่อสร้างทั้งจากภาครัฐและเอกชนมีแนวโน้มออกมามาก โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ราว 1.5 พันล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ทั้งหมดในปีนี้

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเตรียมเข้าประมูลงานใหม่ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม รถไฟฟ้าสายสีเหลือง รถไฟทางคู่ และมอเตอร์เวย์ 5 สาย มูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะได้งานไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท หรือราว 50% ของมูลค่างานทั้งหมด

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าอัตรากำไรสุทธิ และอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้จะทำได้ไม่ต่ำกว่าปีก่อน ที่มีอัตรากำไรสุทธิ 8.31% และอัตรากำไรขั้นต้น 17.46% เนื่องจากการแข่งขันของงานฐานรากในตลาดมีน้อย นอกจากนี้ยังจะรับงานที่ได้เฉพาะค่าแรงซึ่งมีมาร์จิ้นค่อนข้างสูงเพิ่มขึ้น โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้เฉพาะค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็น 80% จากปีก่อนที่ 60%

ขณะเดียวกันบริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ราว 100 ล้านบาท เพื่อใช้ซื้อเครื่องจักร 3-4 เครื่อง รองรับงานใหม่ที่ออกมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ปีนี้แนวโน้มมาดีตั้งแต่ต้นปี เพราะเราสามารถตุน Backlog ให้อยู่ในระดับสูง และยังมีงานใหม่ๆ จะออกมามาเพิ่มขึ้นอีก ทำให้การแข่งขันในตลาดงานฐานรากลดลง เราจึงมีแนวโน้มที่จะได้รับงานใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มใน Backlog อีก ซึ่งจะช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ทำสถิติสูงสุด” นายณรงค์ กล่าว

นายณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ได้เริ่มไปขยายงานในเมียนมาแล้ว บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในประเทศกัมพูชาเพิ่มเติม เพื่อที่จะเข้าไปรับงานร่วมกับผู้รับเหมาจากประเทศไทย โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงต้นปี 61 ซึ่งจะผลักดันให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5%

 

ด้านนักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” SEAFCO ราคาเป้าหมาย 13.50 บาท/หุ้น โดยให้ SEAFCO เป็น top pick ในกลุ่มรับเหมา คาดกำไรเติบโตสูง และโอกาสกำไรผิดคาดน้อย เพราะมี backlog จำนวนมากรองรับเอาไว้แล้ว ขณะที่แนวโน้มกำไรรายไตรมาสจะแข็งอย่างต่อเนื่องในจากงานใน backlog ที่มีมาร์จิ้นสูง ถึงแม้ขณะนี้จะมีปัจจัยลบจากการเลื่อนประมูลโครงการรถไฟรางคู่ เข้ามากระทบจิตวิทยาการลงทุน

จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยสะสมหุ้นสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะภาพรวมของอุตสาหกรรมฐานรากยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากโครงการทั้งภาครัฐที่ออกมาก่อนหน้านี้ และโครงการภาคเอกชนต่างๆที่คาดจะเริ่มเห็นการลงทุนเพิ่มมากขึ้น

ขณะเดียวกันคาดกำไรจะแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 1/60 โดยคาดจะทรงตัวสูงได้ทั้งจากปีก่อนและจากไตรมาสก่อนเพราะพิจารณาจาก backlog ปัจจุบัน ซึ่งงานที่จะรับรู้รายได้ มีสัดส่วนงานเฉพาะค่าแรงสูงถึง 40% (มากกว่าช่วงครึ่งแรกปี 59 ที่งานเฉพาะค่าแรงมีสัดส่วนราว 30%) คาดเป็นปัจจัยสำคัญหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ การรับรู้รายได้คาดเพิ่มขึ้นตาม backlog ที่มีปริมาณมากขึ้นเช่นกัน

 

ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ “ซื้อ” SEAFCO ราคาเป้าหมาย 13 บาท/หุ้น โดยแนวโน้มงานใหม่เป็นบวกอย่างมากในไตรมาส 1/60 SEAFCO ได้รับงานใหม่แล้ว 8 โครงการ มูลค่า 783 ลบ. แบ่งเป็นงานภาครัฐ 4 โครงการ และงานอาคารภาคเอกชนอีก 4 โครงการ และยังมีงานรถไฟฟ้า 3 สาย (ส้ม ชมพู เหลือง) ที่ SEAFCO อยู่ระหว่างเจรจา และใกล้ได้ข้อสรุปสำหรับสายสีส้ม (คาดไตรมาส 2/60 – ไตรมาส 3/60) ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่า 2 พันลบ. รับรู้รายได้ยาว 1.5-2 ปี และเป็นงานค่าแรงอย่างเดียว จึงประเมินได้ว่า ปีนี้เป็นปีทองที่ SEAFCO น่าจะได้รับงานใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยอาจทำได้ถึง 3.0 พันลบ. (เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อน)

 

ส่วนนักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ แนะนำ “ซื้อ” SEAFCO ราคาเป้าหมาย 13 บาท/หุ้น โดยแนวโน้มการประมูลงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ในประเทศทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งมอเตอร์เวย์ 3 เส้นทาง, สุวรรณภูมิ เฟส 2 และรถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย (สายสีส้ม ชมพู และเหลือง) ซึ่งโครงการขนาดใหญ่ดังกล่าวมีงานก่อสร้างฐานรากอยู่ค่อนข้างมาก หรือราว 5-7% ของมูลค่างานโยธา ซึ่งจะช่วยหนุนความต้องการผู้รับเหมางานฐานรากได้อย่างดีตลอดช่วงปี 60-63

โดยฝ่ายวิจัยคาดความต้องการงานฐานรากจะฟื้นตัวได้ชัดเจนในช่วงครึ่งหลังปี 60 ซึ่งส่งผลให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมลดลง และด้วยประสบการณ์ของ SEAFCO ส่งผลให้มีโอกาสในการชนะงานประมูลที่สูงอย่างมาก ประกอบกับข้อได้เปรียบในแง่ของความสัมพันธ์อันดีกับผู้รับเหมาขนาดใหญ่อย่าง CK ส่งผลให้ SEAFCO เป็นบริษัทฐานรากที่มีแนวโน้มการเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับผู้รับเหมาหลักอย่างชัดเจน

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button