BEAUTY กรวดในส้นรองเท้า

วันอังคารที่ 25 เมษายน เป็นวันโลกาวินาศสำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นของบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY เพราะพอเปิดตลาดเช้ามา ราคาก็พลันร่วงแรงมาอยู่ใต้ 10.00 บาทโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ยอมให้ตั้งตัวกันเลย


แฉทุกวันทันเกมหุ้น

วันอังคารที่ 25 เมษายน เป็นวันโลกาวินาศสำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นของบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้  จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY เพราะพอเปิดตลาดเช้ามา ราคาก็พลันร่วงแรงมาอยู่ใต้ 10.00 บาทโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ยอมให้ตั้งตัวกันเลย

จากนั้น ราคาก็ร่วงผล็อย ด้วยแรงขายหลายร้อยล้านบาทที่ถั่งโถมออกมาอย่างหนักลงไปต่ำสุดที่ระดับ 9.10 บาท  อันเป็นราคาต่ำสุดของวัน ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตอนบ่าย ดันราคาปิดท้ายตลาดที่ระดับ 9.45 บาท

งานนี้ สอบถามกันแล้ว พบและเชื่อได้ว่า เกิดจากแรงขายของบรรดากองทุนในประเทศล้วนๆ ท่ามกลางคำถามว่า เกิดอะไรขึ้น

คำอธิบายที่ฟังแล้วทะแม่งแต่บอกถึงอารมรณ์ยามนั้นได้ดีคือ มีข่าวลือว่า เกิดจากมีการลงโทษเกี่ยวกับภาษีอะไรสักอย่าง…ที่จนถึงวันนี้ ยังตอบไม่ได้ว่าภาษีอะไร…แล้วก็บังเอิญมีนักวิเคราะห์บางสำนัก ชี้แนะว่า หากหลุดแนวรับ 10.00 บาท ต้องขายไปก่อนเพราะสัญญาณเทคนิคเสียหาย

งานนี้ มีผู้ร้าย แต่พระเอกหาไม่เจอ ยกเว้นหมอสุวิน ไกรภูเบศ ที่ต้องออกมาชี้แจงแถลงไขว่า “…ผมไม่เกี่ยว ผมไม่รู้ๆๆๆๆๆ”                ก่อนที่หมอสุวิน จะตั้งหลักได้ในวันถัดมา ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า โดยพื้นฐานแล้ว BEAUTY ยังคงเดินหน้าต่อไปปี 2560 ยังมีโมเมนตั้มการเจริญเติบโตดี และยังเติบโตดีกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมซึ่งไม่ได้เติบโตเพียงแค่ในประเทศไทย  “…มีการพัฒนาสินค้า ขยายฐานลูกค้าและสินค้าเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวสาขา Beauty Buffet ใหม่ที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็น 1 ใน 8 สาขาตามแผนการขยายสาขาในฟิลิปปินส์…”

ไหนก็ไหนๆ …หมอสุวินยังแย้มพรายต่อไปอีกว่า มั่นใจว่าไตรมาส 1/60 ผลการดำเนินงานจะเติบโตขึ้น เนื่องจากในปีนี้บริษัทมีช่องทางการขายเพิ่มขึ้น คือ คิงเพาเวอร์และได้วางขายใน 7 จุดจำหน่ายสินค้าของคิงเพาเวอร์ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี เชื่อมั่นว่าจากนี้ไป จะมียอดขายเติบโตขึ้นทุกปีเฉลี่ยปีละ 30% และกำไรโตเฉลี่ยปีละ 35% ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจซบเซา เพราะสินค้าของบริษัทเจาะกลุ่มขนาดกลาง มีราคาที่ประชาชนทั่วไปสามารถจับจ่ายได้ รวมทั้งเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี…

หมอสุวินออกตัวว่า ในเรื่องราคาหุ้นไม่ค่อยมีความรู้ และบริษัทมีหน้าที่ให้ข้อมูลตามความเป็นจริงแก่กองทุนแต่ละกองทุนเท่านั้น ดังนั้นบริษัทจึงไม่อาจทราบได้ว่ากองทุนที่ถือหุ้นในบริษัทหรือกองทุนใหม่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มหรือปรับลดการลงทุนอย่างไร

เพียงแต่ในเชิงธุรกิจ หมอสุวินการันตีว่า BEAUTY จะยังไปได้สวย…เพราะ “ปัจจุบันมียอดขายจากช่องทางขายอื่นๆ ประมาณ 20% จากเดิมที่มียอดขายหน้าร้านเท่านั้น ทำให้ความมั่นคงของแหล่งรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น …แล้วบริษัทก็ยังมองโอกาสที่จะขยายสาขาในแถบชานเมืองกรุงเทพมหานครและภาคอีสานให้ครอบคลุมพื้นที่เพิ่มขึ้น”…เช่น วางสินค้าจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่นกว่า 700 สาขา จาก 9,000 สาขา โดยปี 59 มียอดขาย 85 ล้านบาท ซึ่งปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 140 ล้านบาท

แล้วยังเตรียมรุกสื่อออนไลน์อีก โดยนโยบาย Online To Offline (O2O) ส่งผลให้ยอดขายโตขึ้นค่อนข้างมาก

ส่วนเรื่องของกองทุนปรับพอร์ตนั้น

ฟังอย่างนี้ รื่นหูนักลงทุนยิ่งนัก ยกเว้นคนที่อยาก ”ขายหมู”

คำถามก็คือว่า คนที่ขายหมูอย่างกองทุนในประเทศนั้น คิดและทำอะไร ยังเป็นเครื่องหมายคำถาม เพราะหากดูข้อมูลย้อนหลัง จะพบว่า มีความน่าสนใจบางอย่างที่ชี้เบาะแสพอสมควร

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี้เอง หมอสุวิน และภริยา นางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ ได้ร่วมกันขายหุ้นที่ถือครองอยู่ 300 ล้านหุ้น หรือ 10% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ BEAUTY ให้แก่ผู้ลงทุนในประเทศและต่างประเทศ โดยขายให้แก่ผู้ลงทุนในวงจำกัดแบบข้ามคืนผ่าน ตลท.ในราคา 11 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่ารายการรวมเท่ากับ 3,300 ล้านบาท โดยราคาขายดังกล่าวกำหนดวิธีการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์กับผู้ลงทุนประเภทสถาบัน

การขายหุ้นครั้งใหญ่ดังกล่าว หมอสุวินออกมายืนยันว่าไม่ใช่การทิ้งทวน “ตัดช่องน้อยพอตัว” หรือ “ตีหัวเข้าบ้าน” แต่ต้องการเพิ่มฐานผู้ลงทุนประเภทสถาบันเพื่อให้ฐานผู้ถือหุ้นของบริษัทมีการกระจายตัวที่เหมาะสมยิ่งขึ้น…ไม่จำเป็นต้องถือหุ้นมากมายจนมากกว่า 50% เพราะไม่ใช่บริษัทส่วนตัวแล้ว

ผลลัพธ์ หลังการขายครั้งนั้น ทำให้หมอสุวินและนางธัญญาภรณ์ ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัทต่อไป โดยมีสัดส่วนการถือครองหุ้น 17.47% และ 8.47%  รวมเป็น 25.97%  จากเดิมที่เคยถือ 35.94%..ตัวเบาในหุ้น แต่เต็มกระเป๋าในบัญชีส่วนตัวที่ธนาคาร

โจทย์ที่ยังแก้ไม่ตกคือ กองทุนที่ซื้อหุ้นไปด้วยต้นทุน 11.00 บาทจะขายหุ้นที่ราคาต่ำกว่า 10.00 บาทให้ขาดทุนไปทำไม..ถ้าไม่ใช่รายการ “ทุบเอาของ” ซึ่งถือว่าเป็น “กรวดในส้นรองเท้า” ของหุ้นที่ไม่เคยมีค่าพี/อีต่ำกว่า 40 เท่ามานานมากแล้วอย่าง BEAUTY ที่เลี่ยงไม่พ้น

ปริศนานี้ ใครจะให้คำตอบได้บ้าง…มีรางวัลสินค้าในเครือ BEAUTY เป็นค่าตอบแทน

Back to top button