บลจ.วรรณเสนอขายกองทุนไชน่าใหม่เป้าหมายเลิกโครงการ 5%ใน 5 เดือน

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า บลจ.เตรียมเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ ไชน่า แวลู 5/3 ฟันด์ ออกมารองรับในจังหวะที่หุ้นจีนยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนต่อเนื่อง แม้จะมีความผันผวนบ้างระหว่างทางจากการขายทำกำไรได้ตามกระแสข่าวต่างๆ โดยกองทุนฯ นี้จะเสนอขายระหว่างวันที่ 8-22 เม.ย.58 โดยมีเป้าหมายเลิกโครงการที่ 5% ในระยะเวลา 5 เดือน


นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ เปิดเผยว่า บลจ.เตรียมเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ ไชน่า แวลู 5/3 ฟันด์ ออกมารองรับในจังหวะที่หุ้นจีนยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนต่อเนื่อง แม้จะมีความผันผวนบ้างระหว่างทางจากการขายทำกำไรได้ตามกระแสข่าวต่างๆ โดยกองทุนฯ นี้จะเสนอขายระหว่างวันที่ 8-22 เม.ย.58 โดยมีเป้าหมายเลิกโครงการที่ 5% ในระยะเวลา 5 เดือน

กองทุนดังกล่าวจะเน้นการลงทุนในหน่วยลงทุน ETF ประมาณ 60% โดยกระจายการลงทุนเป็นหน่วยลงทุน ETF ประเภท H-Share 40% จากระดับราคาหุ้นที่ต่ำกว่าและอานิสงส์ของการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ QDII ของทางการจีนที่สนับสนุนให้มีกระแสเงินทุนไหลเข้าใน H-Share ได้มากขึ้น ขณะที่มีกระจายการลงทุนในหน่วยลงทุน ETF ประเภท A-Share เพื่อกระจายการลงทุนในหุ้นจีนที่ยังไม่ครอบคลุมใน H-Share อีก 20% รวมทั้งคัดเลือกหุ้น (Stock Selection) ในหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของเศรษฐกิจและมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับกองทุนอีก 40% โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โครงสร้างพื้นฐาน ประกัน และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น

อีกทั้งยังมีแผนที่จะเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ แอคทีฟ 6/2 ฟันด์ในช่วงปลายเดือนนี้ เนื่องจากยังมีมุมมองว่าราคาน้ำมันยังไปต่อได้ จากแนวโน้มการผลิตน้ำมัน Shale Oil และแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบของสหรัฐอเมริกาที่เริ่มลดลงในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่อุปสงค์น้ำมันเริ่มเพิ่มขึ้นบ้างบางส่วน ซึ่งปัจจุบันกองทุนเปิด ONE-ACTIVE6/2 อยู่ในระหว่างการพิจารณาจากทางสำนักงาน ก.ล.ต.

ทั้งนี้ กองทุนภายใต้การบริหารจัดการประเภท Trigger Fund สามารถบริหารได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อีก 2 กองทุน ในวันที่ 16 เม.ย. 58 ได้แก่ กองทุนเปิด วรรณ เอเชีย อีโคโนมิค โมท 7 ฟันด์ (ONE-MOAT7) โดยกองทุนฯ สามารถคืนผลตอบแทนได้ 7% ภายในเวลา 7 เดือนตามคาด และกองทุนเปิด วรรณ แอคทีฟ6 ฟันด์ (ONE-ACTIVE6) โดยคืนผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้ 6% ภายในเวลา 56 วัน โดยกองทุนประเภท Trigger Fund สามารถปิดกองทุนได้ถึง 13 กองทุน โดยเหลือเพียง 3 กองทุนที่ยังอยู่ในช่วงการบริหารจัดการ

กลยุทธ์การบริหารจัดการกองทุนประเภท Trigger Fund นั้น เน้นกลยุทธ์การลงทุนในลักษณะเชิงรุก (Active Management) อย่างแท้จริง โดยปรับพอร์ตของตราสารที่สอดคล้องไปกับสภาวะการลงทุนในแต่ละช่วงเวลานั้นๆ และจะมีการซื้อขายตราสารที่ลงทุนระหว่างทางเพื่อบริหารกองทุนให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Tactical Trading) โดยเน้นเลือกหุ้นและหรือตราสารที่มีโอกาสการเติบโตของราคาในอนาคต ซึ่งการดำเนินกลยุทธ์ฯ นี้ จะเห็นได้ว่าผลการดำเนินงานกองทุนฯ แม้จะเป็นกอง Trigger Fund แต่ก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน อาทิเช่น กองทุนเปิด ONE-MOAT7 และ ONE-ACTIVE6 ที่ให้ผลตอบแทนของกองทุนตั้งแต่จัดตั้งอยู่ที่ 7.30% และ 6.00% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ให้ผลตอบแทนที่ 1.03% และ 3.69% ในช่วงเวลาเดียวกันตามลำดับ

สำหรับภาพรวมการลงทุนในระยะถัดไปยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยในตลาดหุ้นญี่ปุ่นมองว่าระยะสั้นยังคงปรับตัวขึ้นต่อได้ หลังจากที่ชินโสะ อาเบะไดรับเสียงข้างมากในสภาล่างเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ทำให้สามารถผลักดันและสานต่อนโยบายต่างๆ ได้ราบรื่นและเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะการอัดฉีด QE และการลดอัตราภาษีรายได้นิติบุคคล รวมทั้งมาตรการปรับโครงสร้างเชิงเศรษฐกิจในระยะยาว เป็นต้น ขณะที่อาเซียน มองว่า เศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่การฟื้นตัวได้ดีจากแรงหนุนของเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการส่งออก ขณะที่การใช้จ่ายภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวได้มากขึ้นจากมาตรการการกระตุ้นของทางการในแต่ละประเทศและการเมืองภายในประเทศที่คลี่คลาย ซึ่งมีโอกาสดึงความเชื่อมั่นให้นักลงทุนเข้าสู่ตลาดหุ้นอาเซียนได้มากขึ้นในระยะถัดไป

ในแง่ของมูลค่าหุ้นจีน (Valuation) ทั้งในส่วนของ A-Share และ H-Share ที่ปัจจุบันที่อยู่ระดับ 14.26 เท่าและ 8.26 เท่าตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียที่อยู่ที่ระดับ 14.95 เท่า ทำให้มองว่าด้วยองค์ประกอบของหุ้นจีนในส่วนของมูลค่าหุ้นก็ยังคงไม่แพง แม้จะปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 11.8% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันแล้วก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น H-Share ที่ยังมีราคาถูกค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับหุ้น A-Share

                                                                                                              

Back to top button