Sell in May

*อาการของดัชนีเมื่อวันศุกร์ “โมนิก้า” บอกเลยว่าไม่สู่ดีเช่นเคย เป็นลักษณะอ่อนตัวลงต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าผลประกอบการไตรมาส 1/60 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ต่างๆ ว่าจะออกมาดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลประกอบการออกมาเพียงใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ หรือต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้นั่นเอง ประกอบกับปัจจัยบวกใหม่ๆที่เข้ามาไม่มีน้ำหนักเพียงพอค่ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*อาการของดัชนีเมื่อวันศุกร์ “โมนิก้า” บอกเลยว่าไม่สู่ดีเช่นเคย เป็นลักษณะอ่อนตัวลงต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าผลประกอบการไตรมาส 1/60 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ต่างๆ ว่าจะออกมาดี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลประกอบการออกมาเพียงใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ หรือต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้นั่นเอง ประกอบกับปัจจัยบวกใหม่ๆที่เข้ามาไม่มีน้ำหนักเพียงพอค่ะ

*ส่งผลให้เกิดแรงเทขายออกมาในหุ้นรายตัวโดยเฉพาะหุ้นที่ผลประกอบการแย้ออกมาเสียส่วนใหญ่ ซึ่งแรงเทขายหนักตกเป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 3,041.68 ล้านบาท ตามมาด้วยโบรกเกอร์ขายสุทธิ 258.15 ล้านบาท ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลงมาปิดที่ 1,543.94 จุด ลบไป 6.33 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.48 หมื่นล้านบาท มันจะเป็นสถานการณ์ที่มองว่าเป็นโอกาสเข้าซื้อ หรือยังเป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังกันนะคะ

*เนื่องจากดัชนีปรับตัวลงไปต่ำกว่า 1,550 จุด ซึ่งทางเทคนิคถือว่าไม่ดีนัก ประกอบกับในสัปดาห์นี้ตลาดยังต้องติดตามผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะยังคงกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยจนถึงวันที่ 16 พ.ค. 60 และยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/60 ของไทยที่จะมีขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ รวมถึงการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนอกกลุ่มโอเปกในวันที่ 25 พ.ค.นี้ คะ

*อีกทั้งยังคงต้องระมัดระวังความเสี่ยงเกี่ยวกับกระแสเงินทุนไหลออก และการเกิด Sell in May โดยเฉพาะครึ่งหลังของเดือน พ.ค. SET Index จะมีการปรับลดลงในเดือน พ.ค. ถึง 5 จาก 7 ปีล่าสุด โดยให้ผลตอบแทนติดลบถึง 1.3% ทั้งนี้นักลงทุนต่างประเทศจะเป็นผู้ขายสุทธิต่อเนื่องในครึ่งหลังของเดือน (5 จาก 7 ปีหลังสุด) เฉลี่ย 1.29 หมื่นล้านบาท

*ความอึมครึมของตลาดหุ้น “โมนิก้า” บอกเลยไม่ต่างจากรายของ EARTH ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว หลังจากเห็นราคารูดกระหน่ำจนติดฟลอร์มา 2 วันติด ล่าสุดปิดที่ 1.98 บาท ปรับตัวลง 0.84 บาท หรือลงไป 29.79% ด้วยมูลค่า 526.06 ล้านบาท คราวนี้มองว่าเป็นการถูกฟอสเซลหลังราคาร่วงหนักมา 4 วันติดต่อกัน หากสังเกตดูจากจำนวนหุ้นที่ถูกขายออกมาแต่ละล็อตแล้วเดี๊ยนว่าไม่น่าจะใช่ฝีมือการขายหุ้นของแมงเม่าซะแล้ว น่าจะเป็นการทุบหุ้นของรายใหญ่เจ้าค่ะ…

*เหมือนกับในรายของ MINT กำไรในไตรมาสแรกลดฮวบอย่างน่าตกใจ อีกทั้งราคาหุ้นร่วงมาปิดที่ 36.25 บาท ลบไป 1.00 บาท หรือลงไป 2.68% ด้วยมูลค่า 860.92 ล้านบาท แถมเป็นราคาที่ต่ำสุดในรอบ 1 เดือน สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนรู้สึกผิดหวังกับผลประกอบการเป็นอย่างมาก ประกอบกับค่า P/E ที่ค่อนข้างสูง ทำให้เกิดการเทขายอย่างหนักหน่วง แต่ยังไงก็ต้องมารอลุ้นกันต่อที่ไตรมาส 2 ซึ่งหากมองจากพื้นฐานธุรกิจ “โมนิก้า” มองว่ายังสามารถเติบโตได้อีกเยอะนะเจ้าค่ะ

*เม้าท์ถึงเรื่องที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไรแล้ว “โมนิก้า” ขอวกมาพูดถึงหุ้นที่ผลประกอบการดีบ้าง อย่างด้าน PDI กระแสมาแรง เพราะราคาหุ้นพุ่งมาปิดที่ 19 บาท บวกไป 0.60 บาท หรือขึ้นไป 3.26% ด้วยมูลค่า 109.18 ล้านบาท หลังประกาศงบ Q1 โตกระโดดกว่า 900% เนื่องจากจากราคาสังกะสีปรับขึ้น แถมฟากผู้บริหารชี้หากราคาโลหะสังกะสีโลกในปีนี้ยังปรับตัวสูงในระดับ 2,800 -2,900 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน คาดจะหนุนกำไรปีนี้เติบโตมากและมีลุ้นทำสถิติใหม่อีกครั้ง เห็นอย่างนี้ราคาหุ้นน่าจะพุ่งแรงต่อไปได้อีกและมีเป้าหมายขึ้นไปทดสอบระดับ 20 บาท อีกครั้งค่ะ

*กรณีเดียวกับ FSMART  เล็งอัพเป้ารายได้ปีนี้โตมากกว่า 20% หลังจากบริษัทติดตู้“บุญเติม”ได้ต่อเนื่องและรวดเร็ว ล่าสุดได้ปรับเป้าหมายการขยายตู้เติมเงินเป็น 1.22 แสนตู้ในสิ้นปีนี้ ขณะที่ราคาหุ้นล่าสุดปิดที่ 17.40 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 2.25% ด้วยมูลค่า 31.10 ล้านบาท “โมนิก้า” มองว่าอาจเป็นจังหวะเข้าเก็บ เพราะราคาหุ้นน่าจะได้เวลาปรับตัวขึ้นรอบใหม่เป็นแน่แท้เจ้าค่ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ MTLS กำไรโตแบบโดดเด่นออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ เนื่องจากธุรกิจสินเชื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่ง “โมนิก้า” มองว่าตลาดสินเชื่อในประเทศยังสามารถเติบได้อีกมาก รวมถึงการขยายสาขาจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรบริษัททำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง แม้ล่าสุดราคาปิดที่ 29 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 2.52% ด้วยมูลค่า 161.51 ล้านบาท ซึ่งอาจเป็นโอกาสของการเข้าซื้อนะเจ้าค่ะ

*เหมือนกับในรายของ TACC รายงานกำไรไตรมาสแรกของปีขยับเล็กน้อย แต่หลายฝ่ายยังมองแนวโน้มผลประกอบการที่จะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นในไตรมาสถัดไป เพราะเข้าช่วง High Season ของธุรกิจ และการออกสินค้าใหม่กับ 7-11 จะช่วยผลักดันราคาหุ้นให้ฟื้นตัวได้หรือไม่ “โมนิก้า” ได้ยินมาว่าผู้บริหารคอนเฟิร์มรายได้และกำไรช่วงที่เหลือของปีจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ขาช้อปได้ยินแล้วว่าไงเจ้าค่ะ

* ส่วน BIG รายงานกำไรไตรมาสแรกของปีทรงตัว สวนทางกับหุ้นส่วนใหญ่ที่กำไรไม่สดใสนัก แต่ในวิกฤติมักมีโอกาสเสมอ เนื่องจากราคาล่าสุดปิดที่ 4.46 บาท ลบไป 0.26 บาท หรือลงไป 5.51% ด้วยมูลค่า 133.21 ล้านบาท ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงทำให้อัพไซด์เพิ่มมากขึ้น “โมนิก้า” ยังมองว่าบริษัทยังเป็นเจ้าธุรกิจตลาดกล้องดิจิตอลที่มีความสามารถในการทำกำไร รวมถึงไตรมาสถัดไปพร้อมบุ๊ครายได้จากงาน “BIG Camera Festival 2017” พื้นฐานดีแบบนี้มีติดพอร์ตไว้ไม่เสียหายเจ้าค่ะ

*ทิ้งท้ายกันด้วยเรื่องร้อนๆของ ACAP กันบ้าง ล่าสุดราคาเด้งขึ้นมาปิดที่ 19.80 บาท บวกไป 0.20 บาท หรือ 1.02% ด้วยมูลค่า 41.15 ล้านบาท หลัง “น้องเค้ก” ผู้บริหารสุดแซ่บ ออกมาชี้แจงผ่านรายการข่าวหุ้นเจาะตลาด อย่างกระจ่างแจ้ง ถึงการเตรียมฟ้องลูกหนี้เพื่อยึดหลักประกันเงินกู้ ซึ่งหากกระบวนการทางศาลฯเสร็จสิ้นลง ACAP จะเป๋าตุงเป็นแน่ เพราะ “โมนิก้า” ได้ยินแว่วๆมาว่า ที่ดินผืนที่เป็นหลักประกันนั้น มีการก่อสร้างเพิ่มเติมไปค่อนข้างเยอะ และตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองพัทยาอีกด้วย แบบนี้เรียกว่าพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ถูกเวลาจริงๆ นะเจ้าค่ะ

Back to top button