ขายมากเกินไป!

*ดูเหมือนบรรยากาศการลงทุนในยามที่ดัชนีพุ่งหูดับตับไหม้จะอบอวนไปด้วยความชื่นมื่น พร้อมกับมีการสรรหาเรื่องดีๆ มาเล่าสู่กันฟังเยอะแยะไปหมด แต่ทันทีที่ทุกอย่างไม่เป็นเหมือนกับที่คาดการณ์กันไว้ ทุกอย่างก็มลายหายไปในพริบตานั้น “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่เห็นจนชิน แถมเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เดือนมีนาคม จึงไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดนะจ๊ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*ดูเหมือนบรรยากาศการลงทุนในยามที่ดัชนีพุ่งหูดับตับไหม้จะอบอวนไปด้วยความชื่นมื่น พร้อมกับมีการสรรหาเรื่องดีๆ มาเล่าสู่กันฟังเยอะแยะไปหมด แต่ทันทีที่ทุกอย่างไม่เป็นเหมือนกับที่คาดการณ์กันไว้ ทุกอย่างก็มลายหายไปในพริบตานั้น “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่เห็นจนชิน แถมเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่เดือนมีนาคม จึงไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดนะจ๊ะ

*สิ่งที่เกิดขึ้นในเที่ยวนี้ ถึงไม่มีอะไรต่างจากเดิม กองทุนตัวแสบยังคงดันหุ้นไปออกของ ฝรั่งขี้นกยังตั้งหน้าตั้งตาขายหุ้น ปอบผีฟ้ายังยึดหลักตีหัวเข้าบ้าน แมงเม่ายังคงเข้าๆ ออกๆ กันเป็นว่าเล่น ผลดังกล่าวทำให้ดัชนียังคงวนเวียนในกรอบ 1,530-1,580 จุด “โมนิก้า” จึงขอถามกลับไปว่า ดัชนีทิ้งตัวลงไปถึง 1,531.68 จุด ต่อจากนั้นเด้งกลับ 1,537.42 จุด ลบไป 6.52 จุด ด้วยมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท มันมีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าเจ้าค่ะ

*เนื่องจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้ยังโฟกัสไปที่กำไรในไตรมาส 1 ปี 60 ออกมาดีขนาดไหน? เพราะเป็นตัวแปรที่บอกให้รู้ว่า หุ้นควรจะลงไปถึงระดับไหน? ส่วนประเด็นการเพิ่มน้ำหนัก และลดน้ำหนักของดัชนี MSCI “โมนิก้า” ถือเป็นมูฟเมนต์ที่ไม่ค่อยมีผลสักเท่าไหร่กระมั่ง เพราะหุ้นที่โดนนำเข้ากับโดนปรับออกจากการคำนวณ ไม่มีค่อยมีนัยสำคัญสักเท่าไหร่แบบนี้..เอาแบบที่สบายใจเลยนะคะ

*ด้วยเหตุนี้ “โมนิก้า” ถึงต้องย้อนกลับมาดูว่า การที่ดัชนีเข้าเขตขายมากเกินไปมาระยะหนึ่ง น่าจะเป็นการส่งสัญญาณให้เหล่านักเล่นเริ่มชำเลืองตาดูหุ้นเป้าหมายได้แล้ว เพราะหุ้นบางตัวก็ลงมามากเกินไปจริงๆ จึงน่าจะถึงเวลาดีดกลับอย่างเป็นรูปธรรมเสียที แถมช่วงท้ายตลาดดัชนีมีอาการแข็งขืนให้เห็นแบบนี้ ตามตำราเขาเรียกลักษณะดังกล่าวว่า ใกล้ถึงก้นเหวแล้วนะจ๊ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ EARTH  ถ้ามองในมุมของนักเล่นระดับพระกาฬ ทุกคนลงความเห็นการปรับตัวขึ้นมาปิดที่ 2.14 บาท บวกไป 0.16 บาท หรือขึ้นไป 8% ด้วยมูลค่า 4.17 หมื่นล้านบาท มันเป็นการดันราคาหุ้นในลักษณะสงครามวันเดียวชัดๆ บวกกับช่วงเปิดเทรดหุ้นวิ่งขึ้นไป 2.48 บาท ต่อจากนั้นอ่อนตัวลงมาอีกเรื่อยๆ “โมนิก้า” ถึงอยากให้นักลงทุนที่คิดจะเข้าเล่นในวันนี้ พิจารณาถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นให้ดีเสียก่อน เดี๋ยวจะหาว่า ไม่เตือน!

*คล้ายคลึงกับกรณีของ GL  เริ่มกลับมาทำซ่ารอบใหม่แบบกวนโอ๊ยสุดๆ “โมนิก้า” มองเป็นเพียงเกมหุ้นที่มีแต่หน้าเดิมๆ เล่นกันเองทั้งนั้น ไม่ได้มีมิติใหม่ที่ชวนให้หลงใหล บวกกับกองทุนขาใหญ่รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วว่า “ข้างนอกสุกใส..ข้างในตะติงโหน่ง” จึงไม่มีผู้จัดการกองทุนรายไหนชายตามองอีกต่อไป แม้วานนี้หุ้นจะพุ่งขึ้นมาปิดที่ 22.60 บาท บวกไป 0.30 บาท ด้วยมูลค่า 626 ล้านบาท แต่ไม่มีผู้จัดการคนไหนแสดงอาการแฮปปี้ดี๊ด๊าสักคนเจ้าค่ะ

*ขนาดหุ้นทีเด็ดอย่าง BWG สร้างสตอรี่ตั้งเยอะแยะมากมาย แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นเหมือนกับที่คาดหวัง ก็โดนเทขายอย่างหนักเป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน จนสุดท้ายหุ้นลงมายืนอยู่ที่ 1.79 บาท ลบไป 0.09 บาท หรือลงไป 4.80%  ด้วยมูลค่า 168 ล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่ และหุ้นที่เดินมาทรงนี้ไม่เคยยืนระยะได้ยาวๆ สักที จึงฝากเตือนด้วยคามหวังดี เพราะน่าจะมีราคาต่ำกว่านี้ให้เห็นอีกน่ะสิ

*เหมือนกับในรายของ STA แมงลือกระซิบข้างหูให้ฟังว่า เคยสร้างเรื่องหลอกแมงเม่ามาตั้งหลายครั้ง แต่ยังมีคนคล้อยตามด้วยเป็นประจำ “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในแวดวงตลาดหุ้น แถมวันนี้ยังเม้าท์ถึงธุรกิจยางจะเป็นอย่างนั้น..ธุรกิจยางจะเป็นอย่างนี้ สุดท้ายไตรมาส 1 ทำกำไรได้แค่ 7 ล้านบาท จึงโดนเทขายอย่างหนักจนหุ้นลงปิดที่ 14.90 บาท ลบไป 1.20 บาท หรือลงไป 7.50% ด้วยมูลค่า 300 ล้านบาท แถมหุ้นไม่มีค่า P/E ให้เปรียบเทียบแบบนี้..มันน่าสนใจตรงไหนมิทราบเจ้าค่ะ

*ส่วนในรายของ MTLS อันนี้ขึ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานล้วนๆ แรงซื้อถึงไหลกลับเข้ามาตลอดทั้งวัน จนหุ้นพุ่งขึ้นมาปิดที่ 30.50 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 5% ด้วยมูลค่า 320 ล้านบาท มันเป็นสูตรคำนวณที่ถูกคิดจากความคาดหวังกำไรต่อหุ้นปี 60 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อนำมาคำนวณคร่าวๆ กำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ระดับ 1 บาท ราคาปิดวานนี้ถือว่าไม่สูงเกินไป เพราะเป็นการเทรดบนค่า P/E ที่ระดับ 30 เท่านิดๆ ส่วนเรื่องจริงๆ จะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า ต้องดูกันเอาเองนะคะ

*งานนี้ “โมนิก้า” บอกได้แค่ว่า ทฤษฎีเขาว่าไว้อย่างนั้น แต่แนวทางปฎิบัติอาจเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ซึ่งเปรียบได้กับกรณีของ PK ใครก็คิดว่า คงม้วนเสื่อกลับบ้าน หลังออกอาการเมาหมัดให้เห็นเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน แต่วานนี้หุ้นขึ้นมาทำ new high ในรอบ 1 ปี 5 เดือนครึ่งที่ระดับ 4.70 บาท บวกไป 1.08 บาท หรือขึ้นไป 30% ด้วยมูลค่า 230 ล้านบาท มันเกี่ยวข้องกับกำไรในไตรมาส 1 ปี 60 โตเกือบเท่ากำไรปี 59 ทั้งปี จนเป็นที่มาของการให้ราคาเป้า 6 บาทไงล่ะค่ะ

*เหมือนกับในรายของ UKEM ขึ้นแรงพร้อมกับกำไรโตกระฉูด “โมนิก้า” ถึงยกมือสนับสนุนอย่างเต็มที่ และเมื่อมองในมุมของโอกาสในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ยิ่งทำให้หุ้นรายนี้น่าสนใจขึ้นมาเป็นกอง ล่าสุดราคาหุ้นวิ่งขึ้นมายืนอยู่ที่ 2.10 บาท บวกไป 0.08 บาท หรือขึ้นไป 4% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 99 ล้านบาท แสดงว่า ธุรกิจเขากำลังมาจริงๆ แถมหุ้นเคลื่อนตัวแบบ w-shape เสียด้วยแบบนี้..ลุยไปเลยดีกว่าเจ้าค่ะ

 

Back to top button