ดูยัง! สุดยอดหุ้น mai ไตรมาส 1 กำไรโตทะลักเกิน 100%

ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นำส่งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/60 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.60 เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเพื่อให้นักลงทุนได้เห็นหุ้นที่มีกำไรเพิ่มขึ้นมากสุด“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”จึงทำการรวบรวมหุ้นกลุ่มดังกล่าวมาเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกจากบริษัทที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเกิน 100% เป็นหลัก


ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นำส่งผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/60 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.60 เป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเพื่อให้นักลงทุนได้เห็นหุ้นที่มีกำไรเพิ่มขึ้นมากสุด“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”จึงทำการรวบรวมหุ้นกลุ่มดังกล่าวมาเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกจากบริษัทที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเกิน 100% เป็นหลัก ซึ่งหุ้นที่เข้ามาติดเกณฑ์ดังกล่าวมี 6 ตัว คือ BROOK, BKD, AMA, PPS, BTW และ TPCH ดังตารางประกอบดังนี้

 

โดยอันดับ 1 คือ บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BROOK ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านข้อมูลหรือคำปรึกษาด้านธุรกิจและการเงิน การลงทุน รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาอิสระให้แก่องค์กรชั้นนำของภาครัฐบาลและภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โดยบริษัทรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/60 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.60 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 88.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 811.39% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.71 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานดังกล่าวมีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและการบริการเพิ่มขึ้นจาก 22.21ล้านบาท เป็นจำนวน 51.99 ล้านบาท คิดเป็น 134.08% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยสาเหตุหลักเนื่องจากไตรมาสนี้มีรายได้ค่าบริหารจัดการกองทุนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นจำนวน 31ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่แล้ว

 

อันดับ 2 บริษัท บางกอก เดค-คอน จำกัด (มหาชน) หรือ BKD เป็นผู้ดำเนินธุรกิจรับเหมาตกแต่งภายในอาคาร ประเภทคอนโดมิเนียม โรงแรม สำนักงาน ห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และสถานที่ราชการ อีกทั้งผลิตและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปตามคำสั่งซื้อลูกค้า

โดยบริษัทรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/60 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.60 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 75.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 357.89% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 16.59 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทมีบันทึกหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญโอนกลับเข้ามาจำนวน 69.47 ล้านบาท

 

อันดับ 3 บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ AMA  เป็นผู้ให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางเรือระหว่างประเทศ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชชนิดต่างๆ ไปยังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียตะวันออก ส่วนบริษัทย่อยให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางรถในประเทศ ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิงและไบโอดีเซล B100

โดยบริษัทรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/60 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.60 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 57.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 260.78% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15.82 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานมีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการให้บริหารขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น 142.41 ล้านบาท หรือร้อยละ 78.33 ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายกองเรือบรรทุกน้ำมันและสารเคมีจาก 6 ลำเป็น 8 ลำ รวมถึงการเพิ่มรถบรรทุกขนส่งสินค้าให้กับ PTG จาก 53 คันในไตรมาส 1/59 เป็น 120 คัน ไตรมาส 1/60 รวมถึงบริษัทสามารถควบคุมบริหารจัดการค่าใช้จ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้น

บริษัทฯคาดว่าผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/60 และทั้งปี 60 จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทเตรียมรับเรือลำใหม่ในวันที่ 19 พ.ค.60 จากประเทศเกาหลี มูลค่า 390.17 ล้านบาท น้ำหนักบรรทุก 13,250 เดทเวทตัน ซึ่งเรือลำดังกล่าวจะสามารถเริ่มให้บริการขนส่ง และรับรู้รายได้ทันที ส่งผลให้กองเรือของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 8 ลำเป็น 9 ลำ และมีน้ำหนักบรรทุกรวม เพิ่มขึ้นจาก 56,730 เดทเวทตัน เป็น 69,980 เดทเวทตัน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 23.35%

สำหรับเรือลำดังกล่าวบริษัทฯมีแผนจะนำไปให้บริการขนส่งผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เช่นจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เป็นต้น รวมถึงภูมิภาคเอเชียใต้ เช่น อินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา และบังคลาเทศ เป็นต้น

 

อันดับ 4 บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS ดำเนินธุรกิจเป็นบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาให้บริการทางด้านบริหารและควบคุมการก่อสร้างงานแขนงต่างๆ รวมถึงงานก่อสร้างที่ต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะด้าน มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งที่เป็นโครงการก่อสร้างของภาครัฐและภาคเอกชน

โดยบริษัทรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/60 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.60 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 14.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 201.26% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4.70 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในช่วงดังกล่าวมีกำไรเพิ่มขึ้น  เนื่องจากรายได้จากการบริการเพิ่มขึ้น

บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้ที่ 330 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยขณะนี้มีงานในมือ (Backlog) ราว 494 ล้านบาท แบ่งเป็นงานภาคเอกชน 70% และภาครัฐ 30% ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ไปถึงปี 62

ขณะที่การดำเนินงานธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาบริหารโครงการในปีนี้มีสัญญาณที่ดีจากปริมาณงานภาครัฐที่เริ่มทยอยออกมาเป็นจำนวนมาก ภาคเอกชนก็มีการลงทุนในบางกลุ่มธุรกิจ อาทิ โรงแรม โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน กลุ่มค้าปลีก ซึ่งบริษัทมีศักยภาพในการทำงานทุกประเภท ประกอบกับ ขณะนี้มีบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาที่สามารถรับงานโครงการขนาดใหญ่จำนวนไม่มาก จึงเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทที่จะเข้าเสนองาน และมีแนวโน้มที่จะได้รับงานอย่างต่อเนื่อง

 

อันดับ 5 บริษัท บีที เวลธ์ อินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTW ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีบริษัท เบสท์เทค แอนด์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เป็นบริษัทแกน ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็กและโครงสร้างเหล็ก ตามความต้องการของลูกค้า แบ่งเป็น 1) งานแปรรูปและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ (Modularization) 2) งานแปรรูปชิ้นงานเหล็ก (Parts Fabrication) และ 3) บริการอื่น เช่น การให้บริการติดตั้ง

โดยบริษัทรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/60 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.60 (รวมบริษัทย่อย) มีกำไรสุทธิ 52.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 173.57% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19.30 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานมีกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากรายได้รับจ้างผลิตเติบโตเด่น

 

อันดับ 6 บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีบริษัท ช้างแรก ไบโอเพาเวอร์ จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากชีวมวล เป็นบริษัทแกน

โดยรายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1/60 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.60 (รวมบริษัทย่อย) กำไรสุทธิ 63.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104.28% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 31.29 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานปรับตัวขึ้น เนื่องบริษัทมีรายได้จากการขายไฟฟ้าจำนวน 235.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 103.66 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส1/59 เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าที่สามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ 4 โครงการคือ CRB, MWE, TSG และ MGP ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้า รับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button