ทางโล่ง (ชั่วคราว)

เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เล่นกับกระแสข่าวผลประกอบการไตรมาส 2 มันเป็นอะไรที่เม้าท์ค่อนข้างยากเหลือเกิน เพราะคอนเซ็ปต์การลงทุนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ส่งผลให้รูปแบบของการลงทุนในแต่ละวันมีหุ้นมากหน้าหลายตาผลัดกันขึ้นมาเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นแรงหนุนที่ทำให้ดัชนีเคลื่อนพลขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,580 จุดอีกรอบไงล่ะค่ะ

*ถามว่า เดี๊ยนรู้สึกยินดีกับการทะยานขึ้นของดัชนีในเที่ยวนี้ไหม? เดี๊ยนขอตอบกลับไปว่า ไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่? เพราะมันเห็นกันอยู่แล้วว่า มุกที่ถูกนำมาปั่นกระแสเที่ยวนี้ มันเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนโดยตรงกับการลงทุน  เพราะไม่มีใครรู้ว่า ผลงานของบริษัทจดทะเบียนจะออกมาเป็นอย่างไร? จึงไม่มีความจำเป็นต้องลุยสุดตัวนะจะบอกให้

*หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่า เที่ยวนี้กลับมาไล่ราคาหุ้นบลูชิพอีกครั้ง โดยเป็นการโยกเงินมาเล่นหุ้นแบงก์ กับหุ้นสื่อสาร  ดัชนีถึงทะยานขึ้นมาปิดที่ 1,574.93 จุด บวกไป 5.69 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5 หมื่นล้านบาท เมื่อทุกอย่างเข้าร่องเข้ารอยเสร็จสมบูรณ์ ก็จะเจอกับเอฟเฟ็กต์เรื่อง sell on fact อย่างเลี่ยงไม่ได้ “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับอ่านช็อตดังกล่าวให้ขาดตั้งแต่ต้น เพื่อจะได้วางแผนการลงทุนได้ถูกต้องไงล่ะค่ะ

*เหมือนกับในรายของ CPF โดนผลกระทบราคาหมูตกต่ำเล่นงาน ผสมโรงกับแรงกดดันเพิ่มทุนที่ราคา 25 บาทค้ำคอ นักเล่นถึงปล่อยหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่องนั้น “โมนิก้า” มองเป็นเหตุสุดวิสัยที่ยังไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร? ซึ่งเป็นผลมาจากทุกอย่างยังกลิ้งไปกลิ้งมาตลอดเวลา วานนี้ถึงเห็นหุ้นอ่อนตัวลงมาปิดที่ 23.60 บาท ลบไป 0.30 ด้วยมูลค่า 2.73 พันล้านบาทไงล่ะค่ะ

*ผลกระทบดังกล่าวทำให้หุ้น CPALL โดนแรงกระแทกแบบเต็มๆ เพราะกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทุกคนลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า น่าจะถูกกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้นทิ้ง เพื่อนำเงินไปเพิ่มทุนในบริษัทแม่ล้านเปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นถึงทรุดตัวลงมาปิดที่ 59.75 บาท ลบไป 0.75 บาท ด้วยมูลค่า 3.75 พันล้านบาท มันเป็นเอฟเฟ็กต์จากความไม่ชัดเจนของข่าวสาร หรือจะเถียงว่า ไม่จริง?  เดี๊ยนก็ยินดีรับฟังเจ้าค่ะ

*เช่นเดียวกับในรายของ TRUE ซึ่งเป็นหุ้นที่ “โมนิก้า” ไม่อยากจะเอ่ยถึงสักเท่าไหร่? แต่สุดท้ายต้องเอ่ยปากพูดอย่างเป็นทางการอีกรอบ ก็มาจากแพทเทิร์นของหุ้นออกไปในแนวดับเบิ้ลโลว์ ซึ่งมันหมายความว่า หุ้นน่าจะเด้งกลับไปหายอดแรก 6.50 บาท ก่อนจะเลยขึ้นไปถึง 7 บาท เดี๊ยนถึงต้องออกมาเผือกกับเขาด้วยคน หลังเห็นหุ้นลงมายืนที่ 5.95 บาท ลบไป 0.05 บาท ด้วยมูลค่า 537 ล้านบาท  จริงหรือเท็จ…ลองใช้วิจารณญาณดูกันอีกทีนะคะ

*เหมือนกับในรายของ KTB  ก่อนหน้านี้ก็อยู่ดีมีสุขทุกอย่าง แถมแผนงานก็เป็นไปตามเป้า บวกกับกำไรก็มาตามนัด จู่ๆ ไตรมาส 2 ต้องตั้งสำรองหนี้เสียเป็นหมื่นล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นเกมที่ไม่มีใครอยากให้เป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อทุกอย่างออกมาในแนวนี้ ก็ควรยอมรับผลที่จะตามมาด้วยความเต็มใจ นักเล่นต้องประเมินกันเอาเองว่า หุ้นขึ้นมาปิดที่  19 บาท บวกไป 0.10 บาท ด้วยมูลค่า 840 ล้านบาท ใช่จุดลงทุนอะป่าว

*ส่วนในรายของ SPALI  หลังจากครองตำแหน่งหุ้นดาวเด่นกลุ่มอสังหาฯ มาอย่างยาวนาน ทุกอย่างก็ดูเรียบง่ายไปหมดเสียทุกอย่าง แถมไม่มีอะไรติดขัดแม้แต่นิดเดียว แต่ทันทีที่มีการประกาศงดจ่ายปันผล พร้อมกับเพิ่มทุนจำนวน 429 ล้านหุ้น  บรรดาแฟนคลับก็กระหน่ำขายหุ้นอย่างหนัก จนรูดลงมากองอยู่ที่ 24.40 บาท ลบไป 2.10 บาท หรือลงไป 7.90% ด้วยมูลค่า 1.37 พันล้านบาท “โมนิก้า” มองว่า มันอาจไม่ได้เลวร้ายไปหมดเสียทุกอย่างหรอกค่ะ

*เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ BIG ตั้งท่า ตั้งลำ มาเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายก็ทำให้กองเชียร์เซ็งในอารมณ์ไปตามกัน เพราะทุกอย่างน่าจะเข้าที่เข้าทางอย่างที่ควรจะเป็นหมดแล้ว สุดท้ายกลับโดนสาดหุ้นทิ้งอย่างต่อเนื่อง จนวานนี้หุ้นลงมากองอยู่ที่ 4.20 บาท ลบไป 0.22 บาท หรือลงไป 5% ด้วยมูลค่า 140 ล้านบาท ทั้งที่เดือนก่อนยืนอยู่ที่ 5.15 บาท “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่ต้องพึงระวังอย่างมาก เพราะดูเหมือนจะไม่มีใครเอาหุ้นตัวนี้เลยนะซี

*เบรกอารมณ์มาดูหุ้นที่กระดี๊กระด๊ากันบ้างดีกว่า และตัวที่น่ามองสุดในเที่ยวนี้ก็คือ DTAC หลังมีแรงซื้อจำนวนมากเข้ามาไล่ราคากันอย่างคึกคัก จนหุ้นวิ่งขึ้นมาปิดที่ 54.75 บาท บวกไป 3.50 บาท หรือขึ้นไป 6.80%  ด้วยมูลค่า 353 ล้านบาท “โมนิก้า” ถือว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรที่มากกว่าที่เห็นกันอยู่แน่ๆ งานนี้ถ้าอยากรู้ความจริงเป็นเช่นไร คงต้องตามไปดูอย่างเดียวนะคะ