คุณค่าบริษัท : TWPC เพิ่มช่องทางการเติบโต

สำหรับธุรกิจแป้ง และเส้นก๋วยเตี๋ยวของ บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) หรือ TWPC ยังถือว่าเล็กเมื่อเทียบกับขนาดของตลาด แต่ทางบริษัทมีจุดแข็งทางด้านประสบการณ์ที่ยาวนานและมีข้อได้เปรียบเฉพาะตัว โดยธุรกิจแป้งมันของบริษัทเติบโตได้ดีกว่าอุตสาหกรรมส่งออกมันสำปะหลังของไทย


มีความสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดเป็น 7.6% ในปี 2559 จากเดิม 6.5% ในปี 2556 ในขณะที่รายได้จากธุรกิจเส้นก๋วยเตี๋ยวยังอยู่เพียง 119 ล้านบาทในปี 2559 เทียบกับตลาดรวมมีมูลค่าสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม TWPC มีพัฒนาการทางด้านส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้เชื่อว่า TWPC จะใช้จุดแข็งที่บริษัทมีอยู่เป็นช่องทางการขายในประเทศและเพิ่มช่องทางจากการเจาะตลาดไปยังกลุ่ม CLMV คือประเทศ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม ซึ่งจะทำให้บริษัทเล็กที่แข็งแกร่งได้ในตลาดใหญ่

เนื่องจากการขยายธุรกิจใน CLMV จะช่วยเปิดโอกาสให้กับ TWPC ในแง่ของการหาแหล่งวัตถุดิบใหม่สำหรับผลิตแป้งมัน โดยประเทศเหล่านี้มีพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกมันสำปะหลังและยังสามารถขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มได้อีก รวมถึงการขยายตลาดสินค้าอาหาร ตามเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และผลิตภัณฑ์อาหารของบริษัทก็เป็นอาหารพื้นฐานในประเภทเหล่านั้น

แบบว่า TWPC ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!!

แม้ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 ออกมาลดลงเล็กน้อย โดยรายได้รวมลดลงเหลือ 1,438.60 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,546.16 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรลดลงเหลือ 134.63 ล้านบาท หรือ 0.15 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 162.66 ล้านบาท หรือ 0.18 บาทต่อหุ้น มีสาเหตุหลักมาจากยอดขายที่ลดลงเนื่องจากราคาขายถัวเฉลี่ยแป้งมันสำปะหลังส่งออกลดลง

ถือว่าไม่น่ากังวลสำหรับรายได้และกำไรลดลง เนื่องจากลดลงเล็กน้อยแต่ยังรักษาผลกำไรได้อยู่ทั้งที่เป็นบริษัทขนาดเล็กเท่านั้น

ที่สำคัญเมื่อวิเคราะห์ฐานะทางการเงินเพื่อเป็นตัวแปรในการตัดสินใจต่อการลงทุน พบว่าฐานะทางการเงินของบริษัทยังมีความแข็งแกร่งมาก เพราะบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากถึง 2,736.94 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับหนี้สินหมุนเวียนเพียง 641.08 ล้านบาท ได้ค่า CURRENT RATIO อยู่ที่ระดับ 4.27 เท่า ถือว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทมากเกินความจำเป็นบ่อเกิดทุนจมได้

ส่วนหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมแค่ 955.71 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 5,477.97 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.18 เท่า แสดงว่าบริษัทปลอดจากภาระหนี้จริงๆ จึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

อีกทั้งนักวิเคราะห์มองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะถูกขับเคลื่อนโดย  1) รายได้ที่คาดว่าจะโต 8.4% CAGR จากผลิตภัณฑ์แป้งมันและกลูโคส และ 2) อัตรากำไรจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 12.6-13.0% ในปี 2561-2562 จาก 12.2% ในปี 2560 จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ทรงตัวและการประหยัดต่อขนาด

ส่งผลให้นักวิเคราะห์บล.เคจีไอ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท/หุ้น

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. CHANG FUNG COMPANY LIMITED 89,093,634 หุ้น 10.12%
  2. บริษัท ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล จำกัด (มหาชน) 88,347,051 หุ้น 10.03%
  3. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 60,809,800 หุ้น 6.91%
  4. CREDIT SUISSE AG, SINGAPORE BRANCH 49,726,153 หุ้น 5.65%
  5. บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล คอมเมอร์เชียล ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด 34,708,545 หุ้น 3.94%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายโฮ กวง ปิง ประธานกรรมการบริษัท
  2. นายเศรษฐ์ไสย เศรษฐการุณย์ รองประธานกรรมการบริษัท
  3. นายโฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
  4. นายโฮ เรน ฮวา กรรมการ
  5. นายอำนาจ สุขประสงค์ผล กรรมการผู้จัดการ

Back to top button