JMT ลุยธุรกิจทวงหนี้กัมพูชาโตหมื่นลบ.ใน 3 ปี เผย GL-AEONTS ลูกค้าหลัก

JMT ลุยธุรกิจทวงหนี้ในกัมพูชาโตกระฉูดหมื่นลบ.ใน 3 ปี เผย GL-AEONTS ลูกค้าหลัก มั่นใจรายได้-กำไรปี 60 นิวไฮนับตั้งแต่ดำเนินการธุรกิจ


นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด ออนเรดิโอ” ทาง FM 98.5 MHz สถานีข่าวจริง สปริงเรดิโอ ช่วงเวลา 9.30-11.00 น. ว่า บริษัทได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยในกัมพูชาแล้วเสร็จเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินธุรกิจบริหารหนี้ คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการในเดือนส.ค.60 โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจราจากับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจไฟแนนซ์ในกัมพูชา และว่าจะได้รับหนี้มาราว 300-500 ล้านบาท

ทั้งนี้เริ่มแรกบริษัทจะเน้นลงทุนในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ กลุ่ม non bank เกี่ยวข้องกับการทำบัตรเครดิต และกลุ่มลิสซิ่ง โดยในช่วงปีแรกของการดำเนินธุรกิจจะรับจ้างติดตามหนี้เท่านั้น และคาดว่ารายได้และกำไรเข้ามาในปี 61 ซึ่งบริษัทจะเริ่มซื้อหนี้มาบริหาร เนื่องจากในปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้รับไลเซ่นส์ซื้อหนี้

โดยบริษัทมีพาร์ทเนอร์ในประเทศไทยที่มีธุรกิจสินเชื่อในกัมพูชาและทำธุรกิจกับบริษัทมานาน เช่น บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS และบริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL เป็นต้น ขณะที่ธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ในกัมพูชามีอยู่กว่า 50 บริษัท บริษัทได้เข้าเจราจาแล้วประมาณครึ่งหนึ่ง ซึ่งบริษัทไมโครไฟแนนซ์ดังกล่าวไม่มีพาร์ทเนอร์ที่จะช่วยติดตามหนี้ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน

ขณะที่ NPL ของกัมพูชาเพิ่มขึ้นเป็น 5-6% จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 2-3% เนื่องจากการแข่งขันของบริษัทสินเชื่อ เมื่อมีการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเท่าไหร่แนวโน้มการเกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงคาดว่าในการเข้าไปบริหารนี้จากบริษัทในกัมพูชาจะเพิ่มเป็นระดับพันล้านบาท และภายใน 3 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็นระดับหมื่นล้านบาท

“บริษัทวางเป้าแบ่งสัดส่วน 3 ธุรกิจที่จะเข้าลงทุนในสัดส่วนเท่าๆ กัน โดยในช่วงแรกจะรับงานธุรกิจละประมาณ 100 ล้านบาท และจะคัดเลือกลูกค้าจากท็อป 3 ของแต่ละธุรกิจ เนื่องจากบริษัทจะต้องโฟกัสก่อน และภายหลังก็จะมีการพูดถึงประสิทธิภาพของบริษัท ซึ่งเชื่อว่าจะมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาหาบริษัทเพื่อให้เข้าไปช่วยติดตามหนี้”นายปิยะ กล่าว

ขณะที่รายได้และกำไรในปีนี้คาดว่าจะเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ดำเนินการธุรกิจมา โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/60 จะทำนิวไฮ เนื่องจากว่าบริษัทได้ดำเนินการซื้อหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริษัทยังได้พอร์ตจากธนาคารแห่งหนึ่งเมื่อช่วงไตรมาส 4/59 โดยพอร์ตดังกล่าวส่งผลให้บริษัทได้จำนวนหนี้มาราว 6.5 พันล้านบาท ใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทได้รับกระแสเงินสดแล้วกว่า 200 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 80% ของเงินที่ใช้ลงทุน และจะบันทึกรายได้ในไตรมาส 2/60

Back to top button