เส้นทางนักลงทุน : ควานหาหุ้นเด่น

ชั่วโมงนี้ทั่วโลกกลับมากังวลต่อปัญหาความตึงเครียดด้านภู …


ชั่วโมงนี้ทั่วโลกกลับมากังวลต่อปัญหาความตึงเครียดด้านภูมิศาสตร์ (Geopolitical Risk) ความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐฯ ที่มีการข่มขู่ตอบโต้กันไปมา

ทำให้เกิด “ไฟลามทุ่ง” ไปถึงสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับร่วง (หุ้น) โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปที่มีการปรับเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 6-10% พอมีประเด็นลบซักเรื่องเข้ามาจึงเป็นเหตุให้ตลาดเกิดแรงเทขายทำกำไรกดดัน

ประกอบกับลามไปถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่างปรับตัวลง “แดงเถือก” ซึ่งเป็นการปะผุชั่วคราวตามภาวะ…เพราะตลาดหุ้นส่วนใหญ่มักอิงไปกับสถานการณ์ทั่วโลก

เช่นดั่งตลาดหุ้นไทยคงน้ำหนักในแดนลบตามตลาดยุโรปและเอเชีย จึงยังเล่นกันในกรอบแคบเท่านั้น ทว่าหากบวกก็บวกได้เล็กน้อย “ไปได้ไม่ไกล” เพราะมีเรื่องกดดันอีกส่วนคือ ของผลจากแนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 2 ปี 60 ที่ค่อนข้างย่ำแย่ ซึ่งจะเห็นได้จากการรายงานผลที่ส่วนใหญ่กำไรลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน

แรงกดดันจากการประกาศผลประกอบการจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และความกังวลต่อสถานการณ์เกาหลีเหนือกับสหรัฐฯ คงมีต่อเนื่อง  ด้วยสถานการณ์ “คลุมเครือ” คาดว่าดัชนีจะผันผวนต่อไป โดยวันนี้น่าจะลงมาทดสอบ 1,565 จุด ก่อนที่จะเคลื่อนไหวเชิงลบต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตามยังคงมองว่าดัชนีไม่น่าลงไปต่ำกว่า PER 14.50 เท่าที่ 1,547 จุด

ณ ที่บริเวณดังกล่าวจะเป็นจังหวะให้นักลงทุนเข้าเก็บสะสมหุ้นเต็มที่เพื่อลงทุนรอบใหม่กันอีกครั้งในช่วงที่ SET มีการปรับฐานนั่นเอง

ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้นักลงทุนหันกับมามองรอสะสมกลุ่มหุ้นที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2560 ทั้งกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ยังคงเลือก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC

นอกจากนี้มีกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เลือก บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE และ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA จากการคาดการณ์ว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง จากการที่เฟสจะเริ่มลดขนาดงบดุลช่วงปลายปีนี้

ขณะเดียวกันกลุ่มหุ้นที่มีค่า PER ต่ำและปันผลสูง ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกช่วงตลาดปรับฐาน เนื่องจากกลุ่มนี้มีการเคลื่อนไหวที่ดีกว่าตลาด “ลงน้อยกว่าดัชนีนั่นเอง” โดยกลุ่มอสังหาฯ เลือก บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH มีค่า PER 11.2 เท่า คาดอัตราส่วนการจ่ายปันผล 7.7% และ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH มีค่า PER 8 เท่า คาดอัตราการจ่ายปันผล 6.3%

พร้อมกับกลุ่มโรงไฟฟ้า เลือก บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH มีค่า PER 10.8 เท่า คาดอัตราการจ่ายปันผล 4.6% ซึ่งกลุ่มหุ้นเหล่านี้เหมาะกับการเป็นที่พักเงินยามตลาดอยู่ในช่วงของความผันผลละมีโอกาสที่จะปรับฐานลงต่อเนื่อง

นอกจากนั้นยังคงเน้นให้ถือกลุ่มหุ้นที่ผลประกอบการออกมาก้าวกระโดด (ช่วงไตรมาส 2/60 รวมถึงครึ่งปีแรก) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน “ถือเป็นหุ้นพื้นฐานดี” ซึ่งจะยังคงทนทานต่อสถานการณ์อึมครึมเช่นนี้ อาทิ บริษัท พี.ซี.เอส.แมชีน กรุ๊ปโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PCSGH, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน) หรือ SCG, บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ PDI

ต่อมา บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS, บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIN, บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT, บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PM, บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ MONO, บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เป็นต้น

อีกทั้งกลุ่มที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัวและมี Upside เปิดกว้าง เลือก บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC

การลงทุนในหุ้นดังกล่าวถือเป็นหนึ่งทางเลือก… เพราะเป็นกลยุทธ์อีกอย่างของการลงทุนเพื่อความปลอดภัยของพอร์ต

เป็นการควานหาหุ้นเด่น ด้วยคุณภาพคับแก้ว!

Back to top button