ขึ้นได้ก็ลงได้

*ประเด็นของการลงทุนในเที่ยวนี้ไม่มีอะไรต้องคิดเหมือนเช่นที่ผ่านมา เพราะทุกคนรู้แล้วว่า รูปแบบการลงทุนไม่มีอะไรใหม่ การขึ้นลงของหุ้นยังอิงกับข่าวสารที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นหลัก จึงเชื่อได้ว่า การที่ดัชนีเด้งขึ้นมาปิด 1,567.19 จุด บวกไป 5.88 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.6 หมื่นล้านบาท มันเป็นเพียงเหตุการณ์ “ขึ้นแล้วลง ลงแล้วขึ้น” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ดำเนินมาไม่ต่ำกว่า 7 เดือนแล้วนะนายจ๋า


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*ประเด็นของการลงทุนในเที่ยวนี้ไม่มีอะไรต้องคิดเหมือนเช่นที่ผ่านมา เพราะทุกคนรู้แล้วว่า รูปแบบการลงทุนไม่มีอะไรใหม่ การขึ้นลงของหุ้นยังอิงกับข่าวสารที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นหลัก จึงเชื่อได้ว่า การที่ดัชนีเด้งขึ้นมาปิด 1,567.19 จุด บวกไป 5.88 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.6 หมื่นล้านบาท มันเป็นเพียงเหตุการณ์ “ขึ้นแล้วลง ลงแล้วขึ้น” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ดำเนินมาไม่ต่ำกว่า 7 เดือนแล้วนะนายจ๋า

*เมื่อโดนเข้าบ่อยๆ (อย่าคิดลึก)มันเลยเป็นเรื่องที่ชินชาไปเสียแล้ว ไม่ได้มีอาการเสียวซ่านเมื่อเห็นดัชนีถีบตัวขึ้น หรือรู้สึกห่อเหี่ยวเมื่อดัชนีเห็นทรุดตัวลงหนัก และถ้ามองถึงประเด็นการลดวงเงิน QE ที่มีการพร่ำบอกกันเป็นระยะ “โมนิก้า” ก็เข้าใจถึงเหตุผลของฝรั่งตาน้ำข้าวที่เทขายหุ้นออกมาเป็นระยะ เพราะมันเห็นกันทนโท่ว่า สุดท้ายปลายทางต้องปรับพอร์ตเป็นจำนวนมาก จังหวะถึงต้องทยอยปล่อยของไงล่ะค่ะ

*ด้วยเหตุนี้ “โมนิก้า” ถึงฝากบอกพวกปลากระดี่ได้น้ำใหม่ อย่าระริกระรี่จนเกินงาม เพราะอาการหน้าระรื่นในวันนี้เป็นเพียงแค่ชั่วคราว เพราะของจริงต้องดูกันยาวกว่านี้ หรือถ้าดูกันง่ายๆ คงหนีไม่พ้นตัวเลขกำไรไตรมาส 2 ออกทะเลกันไปหลายเจ้า หรือบางรายไม่ตรงตามเป้าที่วางไว้ ล้วนเป็นสัญญาณที่ทำให้ขาใหญ่ประเภทเก๋าเกมพยายามลดหุ้นจากพอร์ตเช่นกันเจ้าค่ะ

*ตรงนี้ดูได้จากสถานการณ์ของหุ้น BANPU ทุกอย่างดูดีไปหมดทุกซอกทุกมุม แต่กลับไม่มีคนไล่ราคาเหมือนที่แล้วมา ส่งผลให้ราคาหุ้นปิดเสมอตัวที่บริเวณ 17.10 บาท ด้วยมูลค่า 1 พันล้านบาท มันสะท้อนถึงความไม่มั่นใจในธุรกิจถ่านหิน ส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งไม่สุดซอยเหมือนที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ไซเคิลของหุ้นออกไปในทางพักฐานเพื่อรอแรงหนุน ซึ่งมีข้อแม้ว่า หุ้นต้องยืนทรงตัวให้ได้เสียก่อน หากยืนไม่ไหวจะม้วนหางกลับลงไปอีกครั้งนะคะ

*ผิดกับในรายของ BEAUTY กระชากขึ้นทำที่ 13.40 บาท บวกไป 0.90 บาท หรือขึ้นไป 7.20% ด้วยมูลค่า 1.50 พันล้านบาท พร้อมกับทำ new high นับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นเป็นเวลา 4 ปีครึ่ง “โมนิก้า” ถือเป็นภาพเปรียบเทียบกับเจ้าแรกได้ดีสุด เพราะเป็นการฉายภาพหุ้นเติบโตได้ชัดเจนสุด จึงเชื่อกันว่า หุ้นน่าจะไปต่อได้อีกเยอะพอสมควร หากตัวเลขกำไรยังโตได้เรื่อยๆ เจ้าค่ะ

*ส่วนในรายของ AOT กลายเป็นจังหวะที่ถ่ายทอดให้เห็นว่า sell on fact ยังเป็นเรื่องจริงที่พบเห็นได้บ่อยๆ “โมนิก้า” ถึงมองการอ่อนตัวของหุ้นลงมาปิดที่ 51.75 บาท ลบไป 0.75 บาท ด้วยมูลค่า 1.41 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องต้องตื่นเต้นสักเท่าไหร่? เพราะสิ่งที่ต้องสนใจต่อจากนี้เป็นเรื่องของกำไรในไตรมาส 3 จะออกมาดีเหมือนกับข่าวนักท่องเที่ยวทะลักสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะค่า P/E 35 เท่ามันสูงจนน่าหวาดเสียวนะซี

*อีกหนึ่งกรณีที่มีลักษณะคล้ายกัน “โมนิก้า” ขอย้อนกลับไปดูหุ้น MEGA เพื่อย้ำหัวหมุดอีกครั้งว่า ในช่วงที่ผลงานเข้าฝัก ราคาหุ้นก็พุ่งทะยานไม่หยุดหย่อน แต่ในบางจังหวะที่ผลงานไม่เวิร์ก ราคาหุ้นก็มีอาการข้อทรุดเข่าเสื่อม ล่าสุดเห็นราคาหุ้นพุ่งขึ้นมาปิดที่ 29 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 5.45% ด้วยมูลค่า 220 ล้านบาท มันเป็นของความเชื่อมั่นที่ล้นปรี่..คิดดูแล้วกัน ในปีครึ่งที่ผ่านมา ราคาหุ้นยังย่ำวนเวียนไปมาแถว 16-20 บาทเท่านั้น วันนี้หุ้นมาไกลแค่ไหน..ลองถามใจเธอดู..อิอิอิ

*ส่วนในรายของ COM7 พยายามปั้นผลงานแบบสุดฤทธิ์สุดเดช จนราคาหุ้นพยายามเทคตัวอีกครั้ง แต่สุดท้ายปิดได้ที่ระดับ 12.50 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 6% ด้วยมูลค่า 253 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของจังหวะล้วนๆ ไม่มีอะไรต้องคิดให้ปวดสมอง เพราะถ้ามองกำไรต่อหุ้นในครึ่งปีแรกอยู่ที่ 0.20 บาท หากครึ่งปีหลังทำได้อีก 0.20 บาท ก็จะทำให้ตัวเลขทั้งปีอยู่ที่ 0.40 บาท เมื่อนำมาคำนวณบน P/E 40 ราคาเป้าหมาย 16 บาทก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม คำถามคือ ทำได้อะป่าว?

*หากไม่สามารถปั้นผลงานได้ตามที่คาดหวัง หุ้นก็จะลงเอ่ยในลักษณะเดียวกับ STA เพราะโดนเทขายอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี จากหุ้นที่เคยขึ้นไปแตะขอบฟ้าบริเวณ 29 บาท ล่าสุดวานนี้หุ้นลงมานอนอยู่ที่บริเวณ 11.40 บาท ลบไป 1.10 บาท หรือลงไป 8.80% ด้วยมูลค่า 110 ล้านบาท “โมนิก้า” ถือเป็นช็อตต้องใส่เกียร์ถอยเต็มตัว เพราะมองไม่เห็นโอกาสที่หุ้นจะโงหัวขึ้นเลยน่ะสิ

*ลักษณะนี้เปรียบได้กับหุ้นดาวรุ่งพุ่งแรง BIG โดนเทขายอย่างหนักหน่วงตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ.  จนราคาหุ้นไหลลงจากระดับ 5 บาทอย่างง่ายดาย ขณะที่วานนี้หุ้นลงมาปิดที่ระดับ 3.16 บาท ลบไป 0.22 บาท หรือลงไป 6.50% ด้วยมูลค่า 120 ล้านบาท “โมนิก้า” มองเป็นช็อตที่นักเล่นต้องพิจารณาเหตุผลของการเข้าไปรับของในจังหวะคาบลูกคาบดอกเป็นหลัก เพราะถ้าดูจากสภาพเศรษฐกิจเวลานี้ ยากที่จะบิ้วท์ยอดขายจริงๆ นะคะ

*เม้าท์ถึงเรื่องบิ้วท์อารมณ์ “โมนิก้า” อยากให้หันมามอง GL หลังตีโป่งกำไรไตรมาส 2 อย่างไม่กระดากใจ เพราะของมันเห็นกันมาตั้งแต่ต้นว่า งวดนี้มีการรับชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยล่วงหน้าจากลูกหนี้ไซปรัส เพียงเท่านี้ก็ทำให้รู้ว่า นี่เป็นแผนเบ่งกำไรแบบตื้นๆ แต่ที่น่าสนใจคือผู้สอบบัญชีให้ข้อสังเกตเรื่องการตั้งด้อยค่าเงินลงทุนที่ศรีลังกาในไตรมาส 3  ซึ่งพี่ยุ่นทุ่มทุนลงไปมาถึง 2.60 พันล้านบาท ล่าสุดเหลือมูลค่าแค่ 900 ล้านบาท เดี๊ยนถึงไม่แปลกใจที่หุ้นปิดได้แค่ 20.60 บาท บวกไป 0.20 บาท ด้วยมูลค่า 120 ล้านบาท เพราะคนวงในเขาเลิกมองหุ้นตัวนี้กันหมดแล้วเจ้าค่ะ

 

Back to top button