SET ยังเปราะบาง-ลุ้น Rebound ระยะสั้นส่อง 16 หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว-งบ Q1 สวย

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้ระยะสั้นมีลุ้นรีบาวด์แต่กลับมาผันผวนต่อ แต่คาดว่าจะยังอ่อนแอต่อเนื่อง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่สนับสนุนการฟื้นตัว และการอ่อนค่าลงของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้านี้ ณ เวลา 9.15 น. ค่าเงินบาทล่าสุดอยู่ที่ 33.54 บาทต่อเหรียญ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ในช่วงเช้าวันนี้ ขานรับตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ของสหรัฐที่อยู่ในระดับต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนเม.ย.ของสหรัฐซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันนี้

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทยวันนี้ระยะสั้นมีลุ้นรีบาวด์แต่กลับมาผันผวนต่อ แต่คาดว่าจะยังอ่อนแอต่อเนื่อง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่สนับสนุนการฟื้นตัว และการอ่อนค่าลงของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี สำหรับปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้า นอกเหนือจากการรายงานงบ 1Q58 เป็นสัปดาห์สุดท้ายแล้ว ยังมีประเด็นติดตามการเจรจาระหว่าง กรีซ และ รมว.คลังอียู ในวันที่ 11 พ.ค. ซึ่งคาดน่าจะมีความคืบหน้าเชิงบวกในการประชุมนัดนี้

สำหรับหุ้นเด่นวันนี้ ได้แก่ SPA, CBG, SAPPE, INTUCH, ADVANC, TRUEIF, JASIF, ITD, TASCO, AAV BA, NOK, THAI, HANA, KCE และ VNG

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (8 พ.ค.) ว่าสำหรับแนวโน้ม SET ระยะสั้นคาดว่าจะยังอ่อนแอต่อเนื่อง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่สนับสนุนการฟื้นตัว และการอ่อนค่าลงของเงินบาทอย่างต่อเนื่อง

“ซื้อ” SAPPE…มี Upside อีกกว่า 25% ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 40 บาท จาก 1) ถึงแม้ 1Q15 จะอ่อนแอ แต่เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากนี้ จากยอดส่งออกที่เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องเฉลี่ย 30% ในช่วง 2015-17 2) สัดส่วนส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 67% ของยอดขายในปีนี้ ส่งผลให้ได้รับผลบวกจากการอ่อนค่าลงของค่าเงินบาท 3) ช่วงฤดูร้อนช่วยกระตุ้นยอดขาย 4) การบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัว 5) เทคนิคฟื้นตัวแนวต้านระยะสั้น 34.00 บาทนอกจากนี้ยังแนะนำ  “ซื้อสะสม” กลุ่มหุ้นที่ได้รับผลดีจากดอกเบี้ยต่ำ: แนะนำ “ซื้อสะสม” หุ้นที่ได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ อย่าง INTUCH ADVANC รวมไปถึง Reit และ Infrastructure Fund อย่าง TRUEIF JASIF

 

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (8 พ.ค.) ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกทำให้ IMF ปรับลด GDP Growth ของไทยลง ขณะที่เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าแตะ 34 บาทต่อดอลลาร์ น่าจะหนุนหุ้นส่งออก (HANA/KCE/VNG) วันนี้เลือกVNG([email protected]) เป็น Top pick คาดกำไรงวด 1Q58 โดดเด่น และรายได้หลัก 70% มาจากส่งออก

 

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (8 พ.ค.) ว่า ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ มีช่วงเด้งแต่ยังผันผวนแรง

คาดดัชนีวันนี้รีบาวด์สั้นหลังวานนี้ลงหนักกว่าคาด ก่อนผันผวนต่อ ปัจจัยต่างประเทศไม่ชัดเจน รอตัวเลขจ้างงานสหรัฐ เม.ย.นี้คืนนี้ (ชี้ทิศเศรษฐกิจและดอกเบี้ย) โดยตลาดคาดจ้างงาน +2.18 แสนคน ฟื้นจาก +1.26 แสนคนในมี.ค. หากตัวเลขดีกว่าคาดอาจหนุนมุมมองเฟดขึ้นดอกเบี้ยให้กลับสู่ตลาดการเงิน ขณะที่แรงช่วยจากหุ้นพลังงานอาจลดลงหลังราคาน้ำมันปรับฐาน 2.8% เมื่อคืน ด้านปัจจัยภายใน ครม.อนุมัติรถไฟรางคู่เส้นแรก 2.6 หมื่นล้านบาท และคลังเตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเสนอนายก 29 พ.ค.เป็นความคาดหวังต่อการฟื้นตัวขึ้ง GDP ในครึ่งปีหลัง ด้าน valuation ของ SET มอง PE band 17 เท่าของ EPS กลางปี 2558 (เทียบเท่า SET 1470 จุด)เป็น DOWNSIDE risk ของการปรับฐานรอบนี้ ซึ่งเป็นระดับ PE band ที่เคยรองรับการปรับฐานของ SET ได้ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา

หุ้นเด่นวันนี้ เก็งกำไร SPA, CBG

 

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์(8 พ.ค.) คงมุมมองการลงทุนเป็น “กลาง” วันที่ 29 SET INDEX อาจเปิดย่อตัวลงต่อเนื่องจากวานนี้สู่แนว 1,490 จุด +/- ก่อนเกิด Technical Rebound แบบอ่อนๆ สู่ 1,505 จุด +/- เพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลงหลุดแนว US$60/barrel จะกดดันกลุ่มพลังงาน / ปิโตรเคมี แต่เชื่อว่ากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึง ICT จะฟื้นตัวขึ้นมาในที่สุด

สำหรับเงินทุนต่างชาติ เชื่อว่าเงินทุนที่ไหลออกจากมาจากตลาดตราสารหนี้เป็นสำคัญ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิ 14,653 ล้านบาท เมื่อกนง.ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 2 ครั้ง และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้ต้องรีบปิดความเสี่ยงทั้งจากผลตอบแทนการลงทุน และค่าเงินบาท ขณะที่นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิตลาดหุ้นไทยมาตั้งแต่ปี 2556 ส่วน SET50 Index Futures มีสถานะ Long สุทธิเหลือเพียง 17,666 สัญญา YTD แรงในตลาดหุ้นจากนักลงทุนกลุ่มนี้น่าจะเป็นไปอย่างจำกัด

แรงกดดันจิตวิทยาการลงทุนในช่วงนี้ จึงให้น้ำหนักกับกองทุนภายในประเทศ ซื้อสุทธิ YTD สูงสุดใน 4 กลุ่มนักลงทุน 19,881 ล้านบาท และพอร์ตโบรกเกอร์ที่ซื้อสุทธิลดลงเหลือ 2,303 ล้านบาท หากสถาบันไม่ปรับพอร์ตการลงทุน เชื่อว่า SET INDEX จะเริ่มทรงตัวได้ดีขึ้น พร้อมแนะนำให้ติดตามการออกขาย IPO กองทุนทริกเกอร์ฟันด์จะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่ เพื่อสะท้อนมุมมองของสถาบัน

ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญวันนี้ ตัวเลขการส่งออก – นำเข้า ของจีน เพื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจใน 2Q58 ของจีน หลังตลาดหุ้นจีนปรับฐานลง 7.42% ใน WTD อาจเกิดการฟื้นตัวและช่วยให้บรรยากาศการลงทุนรอบเอเชียฟื้นตัวขึ้นได้

สำหรับปัจจัยสำคัญในสัปดาห์หน้า นอกเหนือจากการรายงานงบ 1Q58 เป็นสัปดาห์สุดท้ายแล้ว ติดตามการเจรจาระหว่าง กรีซ และ รมว.คลังอียู ในวันที่ 11 พ.ค. เราเชื่อว่าน่าจะมีความคืบหน้าเชิงบวกในการประชุมนัดนี้

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ “นักลงทุนยังคงใช้กลยุทธ์ ขึ้นแรงขาย – ลงแรงซื้อ” ด่านที่น่าสนใจในรอบนี้ คือ 1,550 จุด +/- ที่ยังไม่น่าผ่านในช่วงสั้น

Accumulative Buy: ITD / TASCO

 

บล.ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (8 พ.ค.)ว่า กลยุทธ์การลงทุนวันนี้คาดว่าตลาดจะยังมีความผันผวนอยู่หลังจากที่ตลาดปรับลดลงแรงตามตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อวานนี้ โดยคาดว่าในระหว่างวันตลาดจะมีการฟื้นตัวยืนเหนือ 1,500 จุดได้ แต่อาจถูกแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี(หลังราคาน้ำมันปรับลง 1.99 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -3.2% เมื่อคืนนี้ ) กดตลาดให้ยังไม่สามารถปรับขึ้นได้ไกล ในขณะที่หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่าง AAV BA NOK THAI TASCO, หุ้นกลุ่มธนาคารพื้นฐานดีที่ปรับลดลงมาหนักอย่าง KBANK KTB และหุ้นที่ประกาศผลกำไรออกมาดีเมื่อวานนี้อย่าง THCOM TK SNCน่าจะดีดตัวขึ้นได้ในวันนี้ โดยวันนี้เราให้แนวรับที่ 1490-1495 และแนวต้านที่ 1505-1510 จุด

Themes play เก็งกำไรหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับลง : แนะนำ ซื้อเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้น AAV BA NOK THAI TASCO ซึ่งเป็นผู้ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบ WTIเมื่อวานนี้ที่ปรับลดลง 1.99 ดอลลาร์/บาร์เรลหรือ -3.2% หลุดระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล มาปิดที่ 58.94 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามค่าเงินดอลลาร์ที่กลับมาแข็งค่า

อย่างไรก็ตามการเก็งกำไรต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นเนื่องจากเมื่อคืนนี้ EIA ได้ประกาศตัวเลขสต๊อกนํ้ามันดิบลดลง 3.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงเป็นครั้งแรกในรอบปีและดีกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล ทำให้ราคาน้ำมันในสัปดาห์หน้ามีโอกาสรีบาวด์ได้หากค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลงอีกครั้ง

Back to top button