TU เติบโตดีขึ้น

นับว่าเป็นข่าวดีต่อธุรกิจของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ที่อยู่ในสหรัฐฯ อาทิ Chicken of the Sea, Chicken of the Sea Frozen Food และ USPET Nutrition มียอดขายรวมกันประมาณ 52,400 ล้านบาท คิดเป็น 39% ของยอดขายในปี 2559 หากสหรัฐฯ มีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (ตามเป้าหมายการปฏิรูประบบภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์) จาก 35% เป็น 15%


คุณค่าบริษัท

นับว่าเป็นข่าวดีต่อธุรกิจของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ที่อยู่ในสหรัฐฯ อาทิ Chicken of the Sea, Chicken of the Sea Frozen Food และ USPET Nutrition มียอดขายรวมกันประมาณ 52,400 ล้านบาท คิดเป็น 39% ของยอดขายในปี 2559 หากสหรัฐฯ มีการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (ตามเป้าหมายการปฏิรูประบบภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์) จาก 35% เป็น 15%

ผลจากการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล เบื้องต้นคาดจะส่งผลให้ TU ประหยัดภาษีได้ราว 300 ล้านบาทต่อปี งานนี้จะช่วยให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นราว 5% เลยที่เดียว            

ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินกำไรไตรมาส 3/60 เติบโตดีขึ้น เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และปริมาณขายเพิ่มขึ้น แม้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจทูน่ายังถูกกดดันจากต้นทุนปลาทูน่าที่เพิ่มขึ้น แต่คาดอัตรากำไรของธุรกิจแซลมอนและกุ้งดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจแซลมอนคาดจะฟื้นตัวดีขึ้นจากการทยอยปรับราคาขายมาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน

อีกทั้งต้นทุนแซลมอนในเดือน ก.ค.-ส.ค.  เริ่มปรับตัวลง 9% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมาที่ 59.4 Nok/กิโลกรัม และลดลง 13% จากราคาเฉลี่ยในไตรมาส 2/60 นอกจากนั้น TU จะรับรู้ผลขาดทุนจากธุรกิจกองเรือลดลงหลังจากขายธุรกิจดังกล่าวออกไปเมื่อเดือน ส.ค. ทั้งนี้ตลาดฯ ไม่ค่อยมีมุมมองบวกต่อ TU ในช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากกำไรอ่อนตัว ดังนั้นกำไรไตรมาส 3/60 อาจเกินความคาดหมายของตลาดฯ

สิ่งสำคัญ เดิมทีทางบริษัทมีการเน้นเพิ่มยอดขาย แต่จะเปลี่ยนหันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ด้วยการลดค่าใช้จ่ายทุกด้านซึ่งคาดจะลดสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายลงจาก 10% เป็น 9-9.5% อีกทั้งใช้เทคโนโลยีมาปรับขบวนการผลิตซึ่งคาดจะช่วยลดต้นทุนได้ในระยะยาว TU ยังคงเป้าหมายยอดขาย 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2563

เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ เนื่องจากหากเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน Red Lobster จนต้องรวมงบการเงินของ Red Lobster จะส่งผลให้ยอดขายเพิ่มเข้ามา 2.5 พันล้านเหรียญฯ ทำให้ยอดขายของ TU เพิ่มเป็น 6.3 พันล้านเหรียญฯ ทันที ประกอบกับยอดขายยังเติบโตจากการออกสินค้าใหม่ (Innovation product) ที่มีอัตรากำไรสูง ขยายไปสู่ตลาดใหม่ เช่น จีน และขยายไปสู่ธุรกิจ Food service เพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มช่องทางการขายสินค้า

แม้ว่าผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 รายได้จากการขายทั้งสิ้น 34,817.60 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 34,401.21 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรลดลงเหลือ 1,411.22 ล้านบาท หรือ 0.29 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,527.05 ล้านบาท หรือ 0.32 บาทต่อหุ้น เป็นผลจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น

ส่วนผลการดำเนินงานงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 66,244.48 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 65,610.74 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2,880.00 ล้านบาท หรือ 0.60 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 2,757.87 ล้านบาท หรือ 0.58 บาทต่อหุ้น การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของยอดขาย การลดลงอย่างมีนัยสำคัญของภาษีเงินได้ การเพิ่มขึ้นของรายได้อื่นจากการลงทุนในบริษัท Red Lobster กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและการลดลงของค่าใช้จ่าย SG&A อย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ยังแนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว” ราคาเป้าหมาย (PER) 24.70 บาท โดยเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงสะท้อนต้นทุนปลาทูน่าที่สูงขึ้น เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 406,587,859 หุ้น 8.52%
  2. สำนักงานประกันสังคม 289,221,108 หุ้น 6.06%
  3. นายธีรพงศ์ จันศิริ 270,988,824 หุ้น 5.68%
  4. MITSUBISHI CORPORATION 218,145,120 หุ้น 4.57%
  5. นายเชง นิรุตตินานนท์ 200,442,084 หุ้น 4.20%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายไกรสร จันศิริ ประธานกรรมการ
  2. นายเชง นิรุตตินานนท์ ประธานคณะกรรมการบริหาร
  3. นายเชง นิรุตตินานนท์กรรมการ
  4. นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
  5. นายธีรพงศ์ จันศิริ กรรมการ

Back to top button