พาราสาวะถี

ฉุนได้ฉุนดี ทั้งๆ ที่มีข่าวเรื่องนักลงทุนญี่ปุ่นยกโขยงมาทัวร์พร้อมส่งสัญญาณความเชื่อมั่นและอยากจะมาลงทุนในเมืองไทย แต่ทำไม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงออกอาการควันออกหูเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พิจารณาจากเนื้อข่าว จุดตั้งต้นคงเป็นเพราะการแถลงแนวทางทวงถามความเป็นธรรมคดีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 53 ของแกนนำนปช.เมื่อวันพฤหัสบดีแน่นอน


อรชุน

ฉุนได้ฉุนดี ทั้งๆ ที่มีข่าวเรื่องนักลงทุนญี่ปุ่นยกโขยงมาทัวร์พร้อมส่งสัญญาณความเชื่อมั่นและอยากจะมาลงทุนในเมืองไทย แต่ทำไม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงออกอาการควันออกหูเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พิจารณาจากเนื้อข่าว จุดตั้งต้นคงเป็นเพราะการแถลงแนวทางทวงถามความเป็นธรรมคดีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 53 ของแกนนำนปช.เมื่อวันพฤหัสบดีแน่นอน

เพราะถ้อยแถลงของท่านผู้นำแสดงความโมโหโกรธาทั้งที่นักข่าวถามเรื่องสถานการณ์รุนแรงจังหวัดชายแดนใต้ กลับได้รับคำตอบว่า วันนี้เป็นเหมือนกันทุกเรื่อง สื่อเอาอีกข้างมาว่าข้างนี้ เอาข้างนี้ไปให้ข้างโน้น หาเหตุอยู่เช่นนี้ ไม่มีจบ ไม่ต้องไปถามเรื่องใต้ เรื่องที่กรุงเทพฯ เรื่องการเมืองก็เหมือนกัน ตราบใดที่ยังปล่อยให้คนเหล่านี้ คนที่มีคดีออกมาพูดออกสื่อทุกวัน มันทำได้หรือไม่

เคยมีหรือไม่ที่ประเทศไหนทำ ก็มีแต่ประเทศไทยนี่แหละที่คนอยู่ในคดีออกมาพูดทุกวัน คดีกองเป็นหลายๆ คดีแต่ก็ยังออกมาพูด สื่อเองก็นำเสนอข่าวแล้วก็เอามาใส่ผม แล้วผมก็ต้องสวนกลับไป ทางโน้นก็สวนกลับมา สนุกกันนักหรืออย่างไร ผมไม่โต้ตอบอีกแล้ว พวกคุณอยากจะฟังไอ้พวกนั้นก็ฟังไปเถอะ เพราะถึงเวลาก็บอกว่าไม่เป็นธรรมอีก ดำเนินคดีข้างเดียว มันทั้งขึ้นทั้งล่องไม่มีจบ ไม่มีปรองดองกันได้

ก่อนที่จะสำทับด้วยประโยคที่ต้องชวนกันให้ขีดเส้นใต้ว่า วันนี้จะปรองดองได้อย่างเดียวคือการใช้กฎหมาย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้นคือกระบวนการปรองดอง แล้วว่าไปตามขั้นตอน ถ้าไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผมยังนึกไม่ออกว่าจะปรองดองด้วยวิธีการอะไร ถามว่านี่คือจุดยืนอันหนักแน่นของท่านผู้นำใช่หรือไม่

หากใช่ก็จะได้ถามและรอดูการปฏิบัติต่อไปว่า การบังคับใช้กฎหมายเพื่อนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมนั้นมันจะเป็นไปในลักษณะเดียวกันหรือไม่ เพราะในขณะที่แกนนำนปช.จะแถลงทีมโฆษกคสช.รีบออกมาแตะเบรกในทันทีทันใด แต่วันเดียวกันแกนนำระบอบสนธิ-จำลองก็ได้นัดหมายประชุม ไม่รู้ว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ข่าวหรือไม่

เพราะหลังจากนั้นก็มีการเชิญชวนให้แนวร่วมและสื่อไปร่วมฟังการแถลงข่าวในวันรุ่งขึ้นทันที ประเด็นอยู่ที่การเตรียมฟ้องป.ป.ช.ที่ไม่ยอมยื่นอุทธรณ์เอาผิดจำเลยในคดีสลายม็อบระบอบสนธิ-จำลองหน้ารัฐสภาเมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ทั้ง 4 คน พร้อมประกาศเตรียมจัดงานรำลึกวีรชนในเหตุการณ์ดังกล่าวในวันที่ 7 ตุลาคมที่จะถึงนี้ด้วย

ตรงนี้แหละที่อยากจะเห็นว่า ทีมโฆษกคสช.จะออกมาแถลงหรือแสดงท่าทีใดๆ เหมือนกับที่แสดงต่อแกนนำคนเสื้อแดงหรือไม่ หากไม่มีทีท่าใดๆ นั่นเท่ากับเป็นการเลือกปฏิบัติชัดเจน เข้าอีหรอบสองมาตรฐาน ตรงนี้ต่างหากที่ท่านผู้นำต้องเข้าใจ คดีความที่ท่านพูดว่าเล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวนั้นมันเป็นความจริงหรือไม่

บอกมาโดยตลอดยุคโซเชียลมีเดีย คนต่างรับรู้ข่าวสารได้ทันกันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เหตุการณ์ในอดีตที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน เมื่อเกิดการเปรียบเทียบมันก็จะเห็นภาพที่ชัดเจน ความยุติธรรมที่อยุติธรรมต่างหากที่เป็นปัญหาต่อกระบวนการสร้างความปรองดองของรัฐบาลคสช. หากยังไม่ยอมรับความจริงตรงนี้ แล้วเที่ยวกล่าวหาคนที่ตัวเองไม่ชอบขี้หน้า มันก็ยากที่จะเดินไปถึงจุดหลายที่ใช้สร้างภาพมาตลอดเวลา

ความจริงอีกหนึ่งอย่างที่ต้องยอมรับกันคือ การไม่ใช่นักบริหารที่เปิดกว้างรับฟังความเห็นของผู้ร่วมงาน อันเป็นเหตุมาจากการที่ท่านเคยเป็นแต่ผู้บังคับบัญชา ซึ่งชี้นิ้วสั่งการและต้องปฏิบัติตามสถานเดียว เมื่อเข้ามาทำงานที่จะต้องรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์พร้อมทั้งข้อเสนอแนะต่างๆ จุดเดือดจึงต่ำกว่านักบริหารหรือนักการเมือง เพราะเจตนาคืออยากให้คนฟังและเชื่อเท่านั้น

จึงไม่แปลกที่เมื่อถูกนักข่าวถามเรื่อง การออกกฎหมายใช้ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจสองข้างทางรถไฟ ท่านผู้นำจึงหลุดประโยคจากความโกรธ “สื่อมาถามอะไรผม เวลาเขาทำกฎหมายก็ค้านกันทุกเรื่อง กฎหมายจะสามารถออกได้ทุกเรื่องหรือไม่ แล้วถ้าออกไม่ได้ใครเป็นคนผิด ไอ้คนเสนอหรือไม่ ฉันไม่เสนอไม่ดีกว่าหรืออยู่เฉยๆ จะเสนอให้โดนด่าทำไมวะ

พอถามต่อว่า นายกฯเป็นคนพูดเองว่าจำเป็นจะต้องออกกฎหมายดังกล่าว ก็ได้รับคำตอบก็จะออก ก็จะทำ แต่จะออกได้หรือไม่ จะต้องไปรับฟังความคิดเห็นทุกเรื่อง แล้วมันผ่านได้ไหมล่ะ ต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็น กระบวนการจะมีอะไร ก็เอากฎหมายไปสร้างความรับรู้ ก็แค่นั้น จะต้องทำกระบวนการอะไรนักหนา ก็เรียกประชุม จัดเวที ประชาชนก็มาฟัง เพื่อแสดงความคิดเห็น แต่ก็ค้านกันตลอดทุกเรื่อง

ก่อนจะโยนภาระให้สื่อต้องไปสร้างความรับรู้ให้กับประชาชน ถ้าประชาชนอยากมีรายได้ที่สูงขึ้น อยากมีโอกาส อยากมีทางเลือก ก็ต้องร่วมมือกับรัฐบาล ไม่ใช่มาอ้างเรื่องผลกระทบ แต่คนทำเขาคิดแล้วว่าจะลดผลกระทบให้มากที่สุดได้อย่างไรและใช้ประโยชน์จากที่ดินได้อย่างไร โดยรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมไปด้วย สื่อต้องขยายแบบนี้ ไม่ใช่เอาตรงนี้ไปตีกับประชาชนเข้าไปอีก แล้วมาถามว่าตนจะทำสำเร็จหรือไม่ ปัดโธ่ไร้สาระ

และเมื่อถูกถามว่าไม่ได้ถามว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ แต่ถามว่ากฎหมายจะสามารถเกิดได้ในห้วงเวลาใด ท่านผู้นำก็เดินเลี่ยงออกจากไมโครโฟนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว พร้อมกับกล่าวว่า “ไม่รู้ เสนอวันนี้ ออกมะรืนเลย เดี๋ยวเสนอพรุ่งนี้ก็ได้ แล้วประชาชนก็ต้องร่วมมือกันมะรืนนี้” ท่าทีเช่นนี้นี่ไง ที่เมื่อมันเผยแพร่ไปสู่สาธารณชนโดยเฉพาะต่างประเทศ มันทำให้เขาเห็นว่าประเทศไทยมีผู้นำที่ไม่รับฟังเสียงฝ่ายเห็นต่าง

หรือท่านอยากจะได้ยินเสียงคนคล้อยตามและสนับสนุนทุกการกระทำเหมือนอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ หรือนี่จะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมเวลาอีกพวกเคลื่อนไหวอะไรก็ไม่ถูกจับผิดหรือคิดที่จะตักเตือน ความจริงเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนทั่วไปสัมผัสและรับรู้กันได้ ไม่ใช่เรื่องว่าใครมีคดีมากหรือน้อยแล้วห้ามพูด เพราะบางพวกคดีก็ไม่ได้น้อยกว่าอีกฝ่าย แต่เส้นใหญ่กว่าจึงสามารถพูดและทำได้ทุกอย่าง นี่ต่างหากคืออุปสรรคสำคัญของการปรองดอง ที่ไม่มีใครกล้ายอมรับความจริงโดยเฉพาะผู้มีอำนาจ

Back to top button