ลุย 3 หุ้นกลุ่มโรงแรม..รับท่องเที่ยวโต!! 

สรุปสถานการณ์ท่องเที่ยวเดือนสิงหาคม 2560 จากกรมการท่องเที่ยวพบว่า มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 3,133,411 คน ในจำนวนดังกล่าวเป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกมากที่สุด 2,260,337 คน รองลงมา ได้แก่ นักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง อเม


เส้นทางนักลงทุน

สรุปสถานการณ์ท่องเที่ยวเดือนสิงหาคม 2560 จากกรมการท่องเที่ยวพบว่า มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยจำนวน 3,133,411 คน ในจำนวนดังกล่าวเป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกมากที่สุด 2,260,337 คน รองลงมา ได้แก่ นักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง อเมริกา โอเชียเนีย และแอฟริกา ตามลำดับ

ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวขยายตัว 8.66% ตามการขยายตัวของนักท่องเที่ยวเกือบทุกภูมิภาค

สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากที่สุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วยนักท่องเที่ยวจีน มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น ลาว อินเดีย ฮ่องกง เวียดนาม กัมพูชา และสิงคโปร์ ตามลำดับ

เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามา สิ่งที่ตามมาคือ มีการใช้จ่ายเกิดขึ้น แล้วก็ส่งผลก่อให้เกิดรายได้ต่อธุรกิจที่อยู่ในแวดวงการท่องเที่ยวนั่นเอง

สำหรับรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติของช่วงเดือนสิงหาคมราว 163,482.41 ล้านบาท ขยายตัว 11.72% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยนักท่องเที่ยวที่สร้างรายได้สูงสุด 10 อันดับแรก ประกอบด้วย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา ลาว และฮ่องกง ตามลำดับ

ขณะที่สถานการณ์ท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในเมืองไทยช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม 2560 พบว่ามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งสิ้น 23,545,093 คน ขยายตัว 5.36% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และก่อให้เกิดรายได้ราว 1,196,567.74 ล้านบาท ขยายตัว 7.47% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

ดังนั้นรายได้จากการท่องเที่ยวปัจจุบัน (นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนสิงหาคม) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวก่อให้เกิดประโยชน์ในรูปของรายได้แก่ประเทศและกระจายรายได้ดังกล่าวสู่ภูมิภาคต่างๆ รวม 1.727 ล้านล้านบาท ขยายตัว 7.31% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในจำนวนนี้เป็นรายได้ที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ 1.197 ล้านล้านบาท และการท่องเที่ยวภายในประเทศของชาวไทย 0.530 ล้านล้านบาท

เมื่อการท่องเที่ยวมีการเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน กลยุทธ์ต่อมาคือ การหาหุ้นที่เกี่ยวข้อง โดยมีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มกลุ่มโรงแรม และนักวิเคราะห์ บล.ธนชาต ยังคงให้น้ำหนักลงทุนเป็น “ซื้อ”

เนื่องจาก 1) คาดว่ากลุ่มโรงแรมมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่ช่วงโลว์ซีซั่นในไตรมาส 3/60 และปรับเพิ่มประมาณการกำไรของกลุ่มขึ้น 3-4% ในปี 2560-2562 ซึ่งทำให้ปัจจุบันคาดว่ากำไรของกลุ่มฯ จะเติบโต 15-23% ในปี 2560-2562 (จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 16% ต่อปี) จาก RevPar เติบโต

2) มีเรื่องราวการขยายสาขาโรงแรม และการกระจายความเสี่ยงไปยังกลุ่มหรือตลาดที่มีการเติบโตสูง 3) กำไรของกลุ่มฯ มีคุณภาพดีขึ้น ด้วยมี ROE สูงขึ้นเป็น 15% ในปี 2562 เพิ่มขึ้นจาก 13% ในปี 2559 และอัตรากำไรดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 12% ในปี 2562 จาก 8% ในปี 2559 และ 4) มีความเสี่ยงทางการเงิน และภาวะอุปทานโรงแรมล้นตลาดที่ต่ำ

นอกจากนี้คาดว่าการเติบโตของกำไรจะเร่งตัวขึ้นเป็น 27% จากงวดเดียวกันของปีก่อนในครึ่งหลังของปี 60 เทียบกับ 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อนในครึ่งแรกของปี 60 โดยการเติบโตนี้มีปัจจัยผลักดันจาก RevPar ที่เพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์จาก operating leverage การขยายโรงแรมและการเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์

เชื่อว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยยังคงเป็นปัจจัยหลักผลักดันการเติบโตของกลุ่มฯ  โดยในเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2560 นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เช่น เอเชีย (เพิ่มขึ้น 3.4%), ยุโรป (เพิ่มขึ้น 6.3%) และสหรัฐอเมริกา (เพิ่มขึ้น 12.6%) ซึ่งโดยรวมเติบโต 4.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่คาดว่าจะเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในไตรมาส 4/60 เนื่องจากฐานที่ต่ำของปีที่ผ่านมาจากการจัดระเบียบทัวร์ศูนย์เหรียญ

ส่วนหุ้นที่ บล.ธนชาต แนะนำ “ซื้อ” เป็น บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT, บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL และบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW

โดย MINT ให้ราคาเป้าหมาย 48 บาทต่อหุ้น พร้อมยังคงเป็นหุ้น Top Pick  เนื่องจากมองว่ากำไรมีคุณภาพมากสุดในกลุ่มฯ  และคาดว่ากำไรของ MINT จะเติบโต 18-24% ในปี 2560-2562 เนื่องจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของทุกธุรกิจ และให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการเพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์

อีกทั้งปรับคำแนะนำในส่วนของ  CENTEL เป็น “ซื้อ” (จาก ถือ) และให้ราคาเป้าหมาย 48 บาทต่อหุ้น เนื่องจากมีกำไรที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด และราคาหุ้นขยับช้า (laggard play) และยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ERW ให้ราคาเป้าหมาย 6.80 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงแรมในไทย ได้ประโยชน์จาก operating leverage มากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันกำไรก็มีความผันผวนได้มากที่สุด

นี่จะทำให้หุ้นกลุ่มโรงแรมหวนกลับมามีเสน่ห์รอบใหม่!!

 

Back to top button