วงจรอุบาทว์

เมื่อวานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยบวกแรงอีกครั้ง 8.54 จุด หลังจากร่วงแรง 11 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ยังคงคึกคักกว่า 5.0 หมื่นล้านบาท โดยเน้นหนักที่หุ้น PTT เป็นสำคัญ


พลวัตปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล

เมื่อวานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยบวกแรงอีกครั้ง 8.54 จุด หลังจากร่วงแรง 11 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าซื้อขายที่ยังคงคึกคักกว่า 5.0 หมื่นล้านบาท โดยเน้นหนักที่หุ้น PTT เป็นสำคัญ

แม้สัญญาณทางเทคนิคจะแสดงให้เห็นชัดว่า การรีบาวด์กลับวานนี้ อาจจะเป็นแค่เพียง “แมวตายเด้ง” ตามปกติ เพื่อรักษาแนวรับเหนือ 1,660 จุดเอาไว้ให้ได้ แต่คำอธิบายที่น่าสนใจของนักวิเคราะห์หุ้นในตลาดไทย มีสำเนียงที่โยงเข้ากับประเด็นทางการเมืองน่ารับฟังไม่น้อย

จะรีบด่วนบอกว่า ไร้สาระก็คงไม่ได้

หากพิจารณาจากข้อมูลการซื้อขายหุ้นรายกลุ่มของนักลงทุน จะเห็นชัดว่า ต่างชาติยังคง “ขี่ม้าเลียบค่าย” ต่อไป ไม่ยอมเข้าตลาดหุ้นไทยจริงจัง ยอดสะสมซื้อสุทธิของต่างชาติล่าสุดนับตั้งแต่ต้นปีถึงวานนี้ยังมีแค่ 1.25 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ในขณะที่กองทุนยังคงเป็นผู้ซื้อหลัก และรายย่อยเป็นผู้ขายหลักต่อไป

การด่วนสรุปว่าต่างชาติจะมาพักตัวยาวนานในตลาดหุ้นไทยรอบล่าสุดนี้ จึงค่อนข้างห่างไกลจากข้อมูลสนับสนุนมากยิ่งนัก

สถานการณ์ของต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ที่มีขนาดใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยเสียอีกที่ยังคงตอกย้ำว่า ต่างชาติที่เคยเป็นคนซื้อหลักในตลาดดังกล่าวยาวนานหลายเดือน ได้เริ่มขยับตัวกลายเป็นผู้ขายสุทธิประจำวันต่อเนื่องมากขึ้น แม้จะไม่มากจนน่าตกใจเท่ากับตอนที่เข้ามาซื้อ แต่ก็หักล้างความเชื่อและบทวิเคราะห์ต่างๆ ได้ไม่น้อย ที่ว่า ต่างชาติยังต้องการให้ไทยเป็นแหล่งลี้ภัยสำคัญในระยะนี้ต่อไป

วานนี้ ต่างชาติพากันแอบซุ่มขายสุทธิในตลาดตราสารนี้ต่อไปอีกวันที่ระดับ 480 ล้านบาท สอดรับกับการขายเพื่อปิดสถานะในตลาดตราสารอนุพันธ์โดยเฉพาะดัชนีล่วงหน้า SET50 FUTURES ที่ชัดเจนกับการปิดสถานะมากถึง 7.39 พันสัญญาทีเดียว ต่อเนื่องจากวันศุกร์ สอดรับกับคำสรุปของนักวิเคราะห์ทวนกระแสบางคนที่ระบุว่า ต่างชาติกำลังอำพรางตัวล่าถอยเมื่อดัชนีล่วงหน้าใกล้แนวต้านเหนือ 1,070 จุด

นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งระบุว่า ให้จับตาดูให้ดีในคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวันพุธที่ 27 กันยายนนี้ (ที่เลื่อนมาจากวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา) คดีรัฐบาลรับจำนำข้าวที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลย

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่พากันสรุปด้วยมุมมองเชิงบวกว่า หากศาลชี้ว่านางสาวยิ่งลักษณ์มีความผิดจริงตามคาด ก็มีโอกาสที่ตลาดขานรับในเชิงบวก ทำให้ดัชนี SET ดีดขึ้น เพราะเชื่อว่าการถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง จะทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ที่เชื่อกันว่าหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว จำต้องเก็บตัวเงียบ ซึ่งจะเป็นผลดี เพราะทำให้การเมืองสงบนิ่งชั่วคราว

ข้อสรุปดังกล่าว อาศัยประสบการณ์เดิมเมื่อหลังวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคมที่นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่เดินางมารับฟังคำพิพากษาของศาลดังกล่าว แล้วหายตัวไปจนถึงปัจจุบันชนิดเข้ากลีบเมฆ ซึ่งยังผลให้นับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคมเป็นต้นมา ดัชนี SET ปรับตัวทะยานบวกแรงมาเหนือแนวต้านหลายแนวต่อเนื่องจนถึงล่าสุดที่ระดับเหนือ 1,660 จุด แข็งแกร่งสุดในรอบ 23 ปี  จนนักวิเคราะห์พากันเชื่อว่า ดัชนีจะฝ่าแนวต้านขึ้นไปเหนือ 1,700 จุดภายในก่อนสิ้นปีนี้

ความเชื่อมั่นดังกล่าว ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นมายาคติ หรือเป็นข้อเท็จจริง จนกว่าจะถึงเวลา แต่ในเบื้องต้นนี้ ถือว่า ยังเป็นแค่จินตนาการเท่านั้น อาจผิดหรือถูกได้ทั้งสิ้น

สำหรับคนที่สามารถทำจิตใจให้มีอุเบกขา ไม่มีอคติของ “สงครามสีเสื้อ” เป็นอาภรณ์ จะสามารถมีข้อสรุปได้ว่า การชี้ขาดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในวันพุธนี้ จะเป็นจุดพลิกผันสำคัญของนโยบายแทรกแซงสินค้าเกษตรและนโยบายรัฐอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต

รัฐสยามในสมัยโบราณ และรัฐไทยยุคก่อนสงครามเย็น ไม่เคยมีนโยบายเป็นชิ้นเป็นอันในการแทรกแซงสินค้าเกษตร ยกเว้นในกรณีเกิดการขาดแคลนเป็นครั้งคราว ในรูปมาตรการแทรกแซงชั่วคราวเฉพาะหน้า

นโยบายแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรจริงจังของไทยเริ่มต้นโดยรัฐบาล “คึกฤทธิ์” หลังปี 2518 ที่เริ่มต้น คำพูดอมตะในเรื่องข้าวเอาไว้ก่อนสินค้าอื่นๆ คือ “ทุกข์ชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน” และ ข้อถกเถียงเรื่องมาตรการที่เหมาะสม ระหว่าง การแทรกแซงด้วยการ “ประกันราคา” หรือ “รับจำนำ” ก็ เป็นการต่อสู้ของแนวทาง ซึ่งคงจะต้องดำเนินต่อไป ตราบใดที่การแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรยังถือเป็นนโยบายหลัก

แล้วทุกครั้งที่มีการแทรกแซงราคาหรือแทรกแซงตลาดโดยรัฐ “ค่าเช่าส่วนเกินทางเศรษฐกิจ” เกิดขึ้นได้เสมอ จากปรากฏการณ์ “เงินทอน” หรือ “เงินหล่น” มาโดยตลอด ไม่เคยว่างเว้น

ตราบใดที่ยังไม่ยอมรับทฤษฎีใยแมงมุม และไม่ยอมรับมาตรการลดพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตเพื่อลดจำนวนชาวนาลงให้เหมาะสม ข้อกล่าวหาและการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องเกิดขึ้น แต่การตัดสินใจในวันพุธที่จะเกิดขึ้น จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ไปจนหมดสิ้น

ถือเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ของวงจรอุบาทว์ที่เลียงไม่พ้นสำหรับสังคมไทยที่เราอยู่กันยามนี้และอนาคต

Back to top button