ECF บวก 4.73% นิวไฮตั้งแต่เข้าตลาดฯ รับแผนธุรกิจ 3 ปีดันรายได้โตแกร่ง

ECF บวก 4.73% นิวไฮตั้งแต่เข้าตลาดฯ รับแผนธุรกิจ 3 ปีดันรายได้โตแกร่ง ล่าสุด ณ เวลา 16.20 น. ราคาอยู่ที่ 7.75 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 4.73% สูงสุดที่ 7.90 บาท ต่ำสุดที่ 7.45 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 123.83 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF ณ เวลา 16.20 น. ราคาอยู่ที่ 7.75 บาท บวก 0.35 บาท หรือ 4.73% สูงสุดที่ 7.90 บาท ต่ำสุดที่ 7.45 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 123.83 ล้านบาท

ด้านนายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF เปิดเผยว่า การที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง น่าจะเป็นผลมาจากแผนดำเนินกิจการ 3 ปี (60-62) ตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์โดยรวมจะขึ้นไปถึง 3,000 ล้านบาท

โดยเป็นรายได้จากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เดิมที่ดำเนินการอยู่จะขึ้นไปถึง 2,000 ล้านบาทในปี 62 จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ราว 1,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทเน้นขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอาเซียนมากขึ้น โดยคาดยอดขายตลาดจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปีนี้ จากปีก่อนที่มียอดขายราว 500 ล้านบาท โดยเฉพาะในตลาดกัมพูชา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เนื่องจากยอดขายทั้ง 3 ประเทศเติบโตในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ

ส่วนรายได้จากเฟอร์นิเจอร์ในแบรนด์ COSTA บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาทในปี 62 จากปีนี้ที่ยังไม่มากนัก โดยบริษัทจะเน้นการขายสินค้าไปในทุกๆ กลุ่มทั่วประเทศ โดยในช่วงที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นเชื่อว่าจะช่วยให้กำลังซื้อของประชาชนกลับมา

สำหรับธุรกิจร้านค้าปลีก หรือ Can do ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 8 สาขา ส่วนช่วงที่เหลือของปี 60 คาดว่าจะเปิดได้ไม่เกิน 1-2 สาขา โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างมองหาพื้นที่ที่เหมาะสม รวมถึงเพิ่มสินค้าที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า

ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้านั้น บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตเป็น 60 เมกะวัตต์ในปี 62  จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นเกือบ 47 เมกะวัตต์ โดยโรงไฟฟ้า PWGE ในจังหวัดนราธิวาส กำลังการผลิต 7.5 เมกะวัตต์ เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว

นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังการผลิต 2 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น 2 โครงการ โครงการละ 1 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่อำเภอลอง และอำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ โดยจะเริ่ม COD ในเฟสแรกเดือน ธ.ค.60 และเฟสที่ 2 จะสามารถ COD ช่วงไตรมาส 1/61

ส่วนโรงไฟฟ้า GEP ขนาด 220 เมกะวัตต์ เมืองมินบู ประเทศเมียนมา สัดส่วนถือหุ้น 20% จะเริ่ม COD ในช่วงไตรมาส 1/61 ในเฟสแรกกำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์ และจะทยอย COD ไปต่อเนื่องจนกว่าจะครบทั้งโครงการภายในปี 64

“หลังจากที่เรามีการลงทุนมามากในปีที่ผ่าน และคงจะเห็นผลการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ซึ่งคงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นตามไปด้วย สำหรับปีนี้เองเรายังคงมั่นใจว่าผลประกอบการจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่มากนักเพราะอย่างที่บอกว่าปีนี้เป็นปีแห่งการลงทุน” นายอารักษ์ กล่าว

นายอารักษ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าซื้อกิจการ และร่วมลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าอีก 4 แห่งทั้งในและต่างประเทศ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ขณะเดียวกันบริษัทยังมองหาการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเติมอีก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาและเจรจา โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปลายปีนี้อย่างแน่นอน ซึ่งจะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตของบริษัทต่อไป

Back to top button