TF-PR จากไปเพื่อหวนคืน

วันพรุ่งนี้แล้ว จะเป็นวันเทรดวันสุดท้ายของ 2 บริษัทในเครือข่ายของกลุ่มสหพัมน์ ที่ชื่อ บริษัท เพรซิเดนท์ไรซ์โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PR และบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TF 


แฉทุกวันทันเกมหุ้น

วันพรุ่งนี้แล้ว จะเป็นวันเทรดวันสุดท้ายของ 2 บริษัทในเครือข่ายของกลุ่มสหพัมน์ ที่ชื่อ บริษัท เพรซิเดนท์ไรซ์โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PR และบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TF

การกระทำดังกล่าวเป็นไปตามเจตนาของ กลุ่มสหพัฒน์ที่ขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สั่งห้ามการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทเป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 8 วันทำการตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2560 ถึง 17 ตุลาคม 2560 เพื่อเตรียมการเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ TF และ PR รวมถึงการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนเพื่อให้มีการนำบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการของ 3 บริษัทในเครือสหพัฒน์ เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนครั้งใหม่ในระยะต่อไป

บริษัทใหม่ดังว่า จะมีทุนจดทะเบียน 329,704,014 บาท 

การถอนตัว แล้วกลับเข้ามาใหม่ ถือเป็นวิศวกรรมการเงินที่เคยประกาศไปเมื่อต้นปี 2560 โดยที่บริษัทแกนหลักของกลุ่มสหพัฒน์ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI เริ่มขยับตัวเป็นครั้งแรกและครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ที่ไม่ธรรมดา ตามแผนการจัดโครงสร้างภายในใหม่ของกลุ่ม

ธุรกรรมจัดโครงสร้างภายในนี้ มี 2 ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนที่ 1 SPI จะเข้ารับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท เพรซิเดนท์โฮลดิ้ง จำกัด (PH) ซึ่งประกอบธุรกิจให้เช่าระยะยาวด้านยานพาหนะและเครื่องจักรและธุรกิจลงทุนโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น ซึ่งรวมถึงหุ้นที่ PH ถือในบริษัทที่ประกอบธุรกิจหลักด้านอาหาร โดยวิธีโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนมิ.ย. 60

ขั้นตอนนี้ ทำให้กิจการในเครือข่ายของ PH ซึ่งพ่วงรวมถึง 3 บริษัท ได้แก่ 1) บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TF 2) บริษัท เพรซิเดนท์ไรซ์โปรดักส์ (PR) และ 3) บริษัท เพรซิเดนท์ เบเกอรี่ (PB) มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 7.92 พันล้านบาท ที่เป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียน จึงเป็นภาคบังคับให้ SPI จำต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ จากผู้ถือหุ้นอื่นๆ โดยปริยาย…แล้วก็ทำให้บริษัททั้ง 3 จำต้องแต่งตัวใหม่ จ้าละหวั่น

เริ่มจาก TF ขายหุ้นใน PR ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ทั้งหมด 1.81 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.21% ที่ราคาหุ้นละ 54.37 บาท รวมมูลค่า 98.21 ล้านบาท ให้แก่ นายบุญยสิทธิ์ โชควัฒนา, นายกำธร ตติยกวี, นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ และนายกำธร พูนศักดิ์อุดมสิน เพื่อขจัดการถือหุ้นระหว่างบริษัทที่จะควบเข้าด้วยกันในอนาคต

ขั้นตอนที่ 2 TF และ PR ทำการควบรวมเพื่อให้เกิดบริษัทใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในเดือนตุลาคม 2560 โดยมีกระบวนการจัดสรรหุ้นในบริษัทใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ TF และผู้ถือหุ้นของ PR ที่มีชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของแต่ละบริษัทดังกล่าว ณ วันและเวลาที่จะกำหนดกันต่อไปในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมใน TF ต่อ 1.47927562 หุ้นในบริษัทใหม่ และ 1 หุ้นเดิมใน PR ต่อ 0.42373214 หุ้นในบริษัทใหม่

รวมทั้งการทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดใน PR และ PB จะมีมูลค่ารวมกันไม่เกิน 2.33 หมื่นล้านบาท  

วิศวกรรมการเงินทั้งสองขั้นตอนที่ว่ามานี้ SPI เลือกวิธีการทางการเงินด้วยการ

1) ออกตั๋วแลกเงินระยะสั้นไม่เกิน 2.3 หมื่นล้านบาท อายุไม่เกิน 270 วัน รองรับการโอนกิจการ รวมทั้งทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ หุ้นทั้งหมดใน PR และ PB…ซึ่งคล้ายๆ กับการออก bridge loan ระยะสั้น

2) ออกหุ้นกู้แปลงสภาพจำนวนไม่เกิน 4 ล้านหน่วย กำหนดราคาหน้าตั๋ว 1,000 บาทต่อ 1 หน่วยหุ้นกู้แปลงสภาพ มูลค่าที่เสนอขายรวมไม่เกิน 4 พันล้านบาท อายุไม่เกิน 7 ปี โดยจะเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้น SPI ตามสัดส่วนที่กำหนด ซึ่งมีรายละเอียดมากมาย โดย SPI ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่ จำนวน 88.89 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการแปลงสภาพของหุ้นกู้แปลงสภาพดังกล่าว

วิศวกรรมการเงินอันชาญฉลาดดังกล่าว ใช้เงินสดและก่อหนี้ที่ไม่มากนัก เนื่องจากเริ่มต้นด้วย Debt Financing แล้วท้ายลงเอยด้วย Equity Financing บางส่วน และสามารถเชื่อมต่อยุทธศาสตร์ธุรกิจในอนาคตได้

การถอนตัวของ TF และ PR แล้วกลับเข้าเทรดใหม่ในชื่อ….(ที่ยังไม่รู้)….จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่ชวนตั้งคำถามว่า แล้วหุ้นบริษัทใหม่ดังกล่าวจะยังมีสภาพคล่องต่ำ เหมือนอดีตเครือสหพัฒน์หรือไม่…

ถ้าไม่มีอะไรเหมือนเดิม นี่คือ การปฏิวัติด้านกระบวนทัศน์ของเครือสหพัฒน์ ภายใต้เสี่ย บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา เลยทีเดียว

ถ้าเหมือนเดิม…ตัวใครตัวมัน เพราะผีจะกลับหลุมเดิมอีกครั้ง

อิ อิ อิ

Back to top button