จัดธีม 7 หุ้น Laggard รอวัน Outperform ชูปัจจัยพื้นฐานแน่น-อัพไซต์เพียบ!

จัดธีม 7 หุ้น Laggard รอวัน Outperform ชูปัจจัยพื้นฐานแน่น-พ่วงอัพไซต์เพียบ!


สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยยังคงมีการปรับตัวขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2560 จนถึงปัจจุบันเป็นการปรับตัวขึ้นถึง 23.61 จุด หรือ 1.41% จากสัปดาห์ก่อน เกินเป้าหมายของสัปดาห์นี้ที่มีการคาดการณ์เอาไว้ว่าจะอยู่ที่ 1,688 จุด ซึ่งการปรับตัวขึ้นแรงดังกล่าวส่งผลให้ Upside ของดัชนีฯเริ่มจำกัด เสี่ยงต่อการปรับตัวลง ขณะที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นหลายบริษัททยอยปรับตัวขึ้นแรงตามภาวะดัชนี ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นเกินพื้นฐานที่ควรจะเป็น

ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ จึงได้ทำการสำรวจข้อมูลราคาหุ้นบจ.ที่ยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาด ขณะที่ยังมีปัจจัยบวกที่คาดว่าจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ในไม่ช้า สำหรับหุ้นที่ราคายัง Laggard และมีแนวโน้มฟื้นตัวได้แก่ TISCO ,  KCE MTLS,PSH ,MINT  ,SYNTEC  ,BH

โดย บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า SET Index เหลือ Upside จำกัด จากเป้าหมายปีนีที่ 1,700 จุด ควรหลีกเลี่ยงกลุ่มหุ้นที่ขึ้นมากกว่าตลาดมาอย่างยาวนาน (ขนส่งทางอากาศ ,พลังงาน ,ปิโตรเคมี) และสลับมาเลือกหุ้น Laggard ที่เริ่มมีสัญญาณ Outperform เลือก TISCO (นำเข้า KS Daily Portfolio) MTLS เป็น Top Picks

ทั้งนี้มองว่ายามที่ SET Index เหลือ Upside จำกัดให้เลือกหุ้น Laggard ใน Sector ที่มี Upside และมีสัญญาณ Outperform ตลาด : SET Index ปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างร้อนแรง และกำลังเข้าใกล้เป้าหมายของ KS Research ที่ 1,700 จุด โดย Upside เหลือเพียง 0.71% เพิ่มความเสี่ยงที่ดัชนีจะเกิดความผันผวนตามแรงขายทำกำไรมากขึ้น

โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นที่ขึ้นมากกว่าตลาดมาอย่างยาวนาน เช่น ขนส่งทางอากาศ พลังงาน ปิโตรเคมี KS Research แนะนำให้ขายทำกำไรในกลุ่มเหล่านี้ และสลับมาเน้นหุ้นที่ยัง Laggard ดังนี้

1.เป็นหุ้น Laggard ใน Sector ที่มี Upside (ค่า Ratio ระหว่าง Sector เทียบกับ SET Index ยังต่ำกว่าจุดสูงสุดของปี) และเริ่มมีสัญญาณ Outperform ตลาด (ค่า Ratio ของ Sector เทียบกับ SET Index ปรับเพิ่มขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา) ซึ่งจะประกอบไปด้วย ค้าปลีก CPALL การเงิน MTLS อิเล็กทรอนิกส์ KCE อสังหาฯ PSH ท่องเที่ยว MINT

2.เป็นหุ้นที่เริ่มมีสัญญาณ Outperform ใน Sector ที่ยัง Underperform ตลาด (ค่า Ratio ของ Sector เทียบกับ SET Index เป็นขาลงมาตั้งแต่ต้นปี) ธนาคารฯ TISCO รับเหมาฯ SYNTEC โรงพยาบาล BH

ทั้งนี้คาดว่ากลุ่มหุ้น Laggard ข้างต้นจะเป็นหุ้นที่มีโอกาสเป็นเป้าหมายของนักลงทุนในยามที่ตลาดเกิดสภาวะสลับกลุ่มลงทุนหรือ Sector Rotation ซึ่งมักจะเป็นสภาวะที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ SET Index เหลือ Upside จำกัดแต่ดัชนียังเป็นขาขึ้นและไม่มีปัจจัยลบที่เข้ามากระทบรุนแรง

อันดับที่ 1 บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO โดย บล.กสิกรไทย เลือกเป็นหุ้นเด่นสำหรับการเก็งกำไรผลประกอบการงวดไตรมาส 3/60 โดยคาดกำไรสุทธิไว้ที่ 1.60 พันล้านบาท เติบโต 26.9% จากปีก่อน และ 5.4% จากไตรมาสก่อน ถือว่าโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มธนาคารฯโดยรวม ปัจจัยหนุนการเติบโตกำไรมาจากการตั้งสำรองที่ลดลงในไตรมาส และได้รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ TISCO ยังเป็นหุ้นที่มีคุณภาพของสินทรัพย์ดีที่สุดในกลุ่มธนาคารเล็ก NPL ratio จะลดลงเหลือ 2.36% จาก 2.41% ในไตรมาส 2/2560 และ coverage ratio คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8 ไตรมาสติดต่อกันมาอยู่ที่จุดสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 183%

อันดับที่ 2 บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE โดย บล.กสิกรไทย ระบุว่า KCE เป็นหนึ่งในบริษัทที่จะมีผลประกอบการทำจุดสูงสุดในงวดไตรมาส 3/2560 โดยราคาหุ้นยังมีประเด็นบวกให้เก็งกำไรจากโอกาสในการพลิกกลับไปอ่อนค่าของเงินบาท และการปรับลดลงหนักของราคาทองแดง โดย KS Research ยังคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 102 บาท

อันดับที่ 3 บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS โดย บล.กสิกรไทย ระบุว่า สินเชื่อ MTLS ยังขยายตัวต่อเนื่อง จากการขยายสาขาเชิงรุกและความต้องการสินเชื่อในระดับสูง ด้านคุณภาพทรัพย์สินยังอยู่ในระดับดี เนื่องจาก MTLS มีขั้นตอนการปล่อยสินเชื่อและตรวจสินทรัพย์ที่ดีขึ้น ขณะทีระดับ NPL ยังต่ำมาก 1.18% และ MTLS มี Coverage Ratio (สัดส่วนการตั้งสำรองต่อหนี้เสีย) สูงถึง 267%

อันดับที่ 4 บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH โดย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ปรับเพิ่มคำแนะนำดีขึ้นเป็น ซื้อ จากเดิม ถือ หลังปรับประมาณการปี 58 ดีขึ้น ราคาพื้นฐานใหม่ขยับขึ้นเป็น 26 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 61 ที่  8 เท่า ที่สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยในอดีต ราคาปิดกลับมามีส่วนเพิ่มได้อีก 15%

ผนวกกับคาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้และปีหน้าที่สูงเป็น 6.5% และ 7.2% ตามลำดับ แม้คาดว่าอัตราการเติบโตกำไร PSH ไม่ได้ก้าวกระโดดมากแต่ก็อยู่ในอัตราที่ดีปีนี้ 8% และปีหน้า 10.5% เทียบจากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ตามลำดับ แต่ถือว่า PSH มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง นั่นคือ อัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROAE) ปลายปีนี้มากเป็น 17.2% ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net Gearing) เป็น 0.7 เท่า

อันดับที่ 5 บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 46 บาท/หุ้น โดยราคาหุ้นที่ได้รับแรงกดดันในช่วงเดือนส.ค.-ก.ย. นั้นได้สะท้อนผลกระทบจากแปลงสภาพ MINT-W5 ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพ.ย. 2560 แล้ว

โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อสถานะการเงินที่จะแข็งแกร่งขึ้นมากอย่างชัดเจนในอนาคต กอปรกับโอกาสดีลซื้อกิจการหลังจากบริษัทได้รับเงินจากการแปลงสภาพ MINT-W5 ในไตรมาส 4/60 นอกจากนี้ผลประโยชน์จากการซื้อกิจการก่อนหน้าในปี 2560 โดยเฉพาะ Tivoli จะเริ่มออกดอกออกผลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยในปี 2561 โดยปรับเป้าหมายการลงทุนเป็นสิ้นปี 2561 โดยให้ราคาเป้าหมายที่ประเมินด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสดที่ 46 บาท ภายใต้สมมติฐานว่ามีการใช้สิทธิ์แปลงสภาพเต็มจำนวน (คิดลดมูลค่าหุ้นด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสดที่ 20%, สมมติฐาน WACC 7.7% และ terminal growth rate 2%)

ทั้งนี้คาดตัวเลขผลการดำเนินงานโดยภาพรวมในไตรมาส 3/60 จะใกล้เคียงกับไตรมาส 2/60 แต่เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น กอปรกับประสิทธิภาพสูงขึ้น จึงคาดการณ์เบื้องต้นว่ากำไรหลักไตรมาส 3/60 สูงขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และ 50% จากไตรมาสก่อน

โดยคาดแนวโน้มการเติบโตแกร่งนี้จะต่อเนื่องไปยังไตรมาส 4/60 และ 1/61 หนุนโดยผลการดำเนินงานไตรมาส 4/59-1/60 ในประเทศไทยมีฐานต่ำ, เดือนต.ค.ธ.ค. และม.ค.-ก.พ. เป็นช่วงไฮซีซั่นสำหรับการท่องเที่ยวในประเทศไทยและมัลดีฟ ตามลำดับ, กำไรเพิ่มขึ้นจากการถือหุ้น Riverside มากขึ้น 16.7% (MINT ถือหุ้นบริษัทในจีนรวม 85.9%), และการขายอสังหาฯ ในจังหวัดภูเก็ตคาดกำไรหลักในครึ่งหลังของปี 2560 จะเติบโตในอัตราประมาณ 20-25% จากปีก่อน

*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button