PTTGC อนาคตยังแข็งแกร่ง

มีการวิเคราะห์กันว่า PTTGC จะมีผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 60 เพิ่มขึ้น 53% จากไตรมาสก่อน มาที่ 10,098 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจโรงกลั่นเพิ่มขึ้นจากค่าการกลั่น (Market GRM) ที่เพิ่มสูงขึ้น และราคาน้ำมันดิบ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8 เหรียญ มาที่ 50.6 เหรียญต่อบาร์เรล คาดมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันราว 1.2 พันล้านบาท


คุณค่าบริษัท

มีการวิเคราะห์กันว่า บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC จะมีผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 60 เพิ่มขึ้น 53% จากไตรมาสก่อน มาที่ 10,098 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจโรงกลั่นเพิ่มขึ้นจากค่าการกลั่น (Market GRM) ที่เพิ่มสูงขึ้น และราคาน้ำมันดิบ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8 เหรียญ มาที่ 50.6 เหรียญต่อบาร์เรล คาดมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันราว 1.2 พันล้านบาท

อีกทั้งธุรกิจอะโรเมติกส์ ลดลงจากสเปรดพาราไซลีนที่ต่ำลง 13 เหรียญมาที่ 372 เหรียญต่อตัน นอกจากนี้ยังมีธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ปรับตัวดีขึ้นจากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มและสเปรดราคา HDPE ที่ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 246 ล้านบาท จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย

สำหรับธุรกิจโรงกลั่นคาดปรับตัวดีขึ้นจาก 1) โรงกลั่นเดินเครื่อง 102% จากที่ไม่มีการปิดซ่อมบำรุง (2) ค่าการกลั่น (Market GRM) เพิ่มสูงขึ้นมาที่ 8.1 เหรียญต่อบาร์เรล จาก 6.1 เหรียญต่อบาร์เรล ในไตรมาส 2/60 จากสเปรดดีเซล (Gasoline-Dubai) ซึ่งมีสัดส่วนกึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์โรงกลั่น สูงขึ้น 1.9 เหรียญต่อบาร์เรล (3) พลิกมีกำไรจากสต๊อก+NRV จากการปรับขึ้นของน้ำมันดิบ โดยคาดไว้ที่ 2.2 เหรียญต่อบาร์เรล (1.2 พันล้านบาท) จากขาดทุน 1.6 เหรียญต่อบาร์เรล (-1.1พันล้านบาท) ในไตรมาส 2/60

ขณะที่ธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง คาดปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจาก 1) การใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็น 95% จากไตรมาส 2/60 ที่ 89% 2) ระดับราคาเม็ดพลาสติก HDPE ทรงตัวที่ 1,138 เหรียญต่อตัน

ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ คาดอ่อนตัวลงจากแนวโน้มการทำกำไร (Market P2F) ลดลงหลังสเปรดพาราไซลีน(PXcondensate) ลดลง 13 เหรียญ มาที่ 372 เหรียญต่อตัน และสเปรดเบนซีน (BZ-Condensate) ลดลง 18 เหรียญ มาที่ 320 เหรียญต่อตัน ชดเชยกับการเดินเครื่องของโรงอะโรเมติกส์ที่เพิ่มขึ้นมาที่ 80% จาก 66% ในไตรมาส 2/60 ที่มีการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ตามแผน

เพราะอย่างไรเสียจะได้เห็นผลการดำเนินงานไตรมาส 3 เติบโตไปตามที่นักวิเคราะห์คาดอย่างแน่แท้ จากปัจจัยหนุนของธุรกิจ

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ บล. ฟิลลิป มองว่าจากแนวโน้มไตรมาส 3 ปี 60 ที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงค่าการกลั่นที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 4 ปี 60

จึงปรับประมาณการกำไรปี 60 ขึ้น 18% มาที่ 36,207 ล้านบาท ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 61 คาดจะปรับตัวดีขึ้นจาก 1) ส่วนช่วยจากการเดินเครื่องของโรงงานต่างๆ มากขึ้น และไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่ ทั้งนี้การหยุดซ่อมบำรุงโรงอะโรเมติกส์ในไตรมาส 2 ปี 60 ที่ผ่านมา ทำให้โรงอะโรเมติกส์มีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้นเฉลี่ย 95% จากเดิมที่ทำได้ราว 80%

2) รับส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Asset Injection 2.4-3.0 พันล้านบาท เต็มปี และ 3) ส่วนเพิ่มจากการผลิต mLLDPE ในไตรมาส 1 ปี 61 300 พันตันต่อปี โดย mLLDPE มีราคาเฉลี่ยที่สูงกว่า LLDPE ราว 100-150 เหรียญต่อตัน

ดังนั้นปรับคำแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น “ทยอยซื้อ” ราคาพื้นฐานไปเป็นปี 61 ที่ 90 บาท (อิง P/BV ที่ 1.4 เท่า)

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 2,204,318,915 หุ้น 48.89%
  2. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 541,093,567 หุ้น 12.00%
  3. CHASE NOMINEES LIMITED 95,223,492 หุ้น 2.11%
  4. บริษัท เอ็ชเอ็มซี โปลีเมอส์ จำกัด 83,427,636 หุ้น 1.85%
  5. NORTRUST NOMINEES LTD-CL AC 81,957,039 หุ้น 1.82%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการ
  2. นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานกรรมการอิสระ
  3. นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
  4. นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
  5. นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ กรรมการ

Back to top button