MKกำไรไตรมาส1/58 น่าผิดหวังแนะขายคาดมีโอกาสที่บริษัทจะปรับเป้าหมายปีนี้ลง

บล.ดีบีเอสฯ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (14พ.ค.58) ว่าบริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน)หรือ MK กำไรสุทธิ ไตรมาส1/58 ไม่สดใสนัก เป็น 31 ล้านบาท ลดลงถึง 31% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและลดลง 82% เทียบไตรมาสก่อนหน้าเพราะอัตรากำไรขั้นต้นต่ำเป็นเพียง 33.4% เทียบ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและ เทียบไตรมาสก่อนหน้าที่ 38.5% และ 42% ตามลำดับ ตามการรับรู้รายได้ส่วนใหญ่มาจากสินค้าประเภททาวน์เฮ้าส์ซึ่งปกติมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าบ้านเดี่ยว และมีต้นทุนค่าโปรโมชั่นโครงการใกล้จบเพื่อผลักดันสต็อคให้หมดไป แม้ว่ารายได้ ไตรมาส1/58 ที่ 435 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นได้ 3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่ยังน้อยกว่า เทียบไตรมาสก่อนหน้าอยู่ 41%

โดยกำไรสุทธิ ไตรมาส1/58 เป็นสัดส่วนน้อยเทียบกับประมาณการทั้งปี 58 คือเป็นสัดส่วนเพียง 7% เทียบกับประมาณการทั้งปี 58 ที่ 463 ล้านบาท จึงอาจมีการปรับประมาณการกำไรลงได้ในอนาคต หากกำไรในรายไตรมาสถัดๆไป ไม่มีพัฒนาการที่ดีกว่านี้

ด้านงบดุล ไตรมาส1/58 มีการใช้หนี้มากขึ้น หากพิจารณาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเป็น 0.2 เท่า มากกว่า 1 ปีก่อนหน้าที่ 0.1 เท่า แต่ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเป็น 6.39 บาท ด้านกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็น +18 ล้านบาท ลดลงมากเทียบกับ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เป็น +60 ล้านบาท

คาดมีโอกาสที่บริษัทจะปรับเป้าหมายปีนี้ลง ทั้งในส่วนยอดขาย (presales) และรายได้ เพราะยอดขาย ไตรมาส1/58 ทำได้เพียง 555 ล้านบาทเทียบกับเป้าปีของบริษัทที่ 4 พันล้านบาท อยู่ในเกณฑ์น้อยคือ 14% แต่คาดว่ายอดขายจะไปมากใน ไตรมาส3/58 ที่มีขายคอนโดใหม่ 2 โครงการคือ อรุณอัมรินทร์-พระราม 8 และสุขสวัสดิ์ ตามแผนบริษัทคือ ปีนี้จะเปิดขายโครงการใหม่เฉพาะไตรมาส2/58(มีเฉพาะแนวราบ) และ ไตรมาส3/58 (มีแนวราบ+คอนโด) ด้านรายได้ ไตรมาส1/58 ทำได้เป็น 14.5%  จากเป้าบริษัทที่ 3 พันล้านบาท และเป็น 16% เทียบกับประมาณการของเราที่ 2.7 พันล้านบาท ส่วนรายได้คาดว่าจะไปมากใน ไตรมาส4/58 ที่โอนคอนโด August ที่ถนนเจริญกรุง เมื่อสร้างเสร็จประมาณ ไตรมาส4/58 ขณะที่ 3 ไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้มาจากเฉพาะโครงการแนวราบ

ด้านยอดขายรอโอน (Backlog) น้อยกว่าอุตสาหกรรม ณ สิ้นปี 57 เป็น 555 ล้านบาท ถือว่าน้อย เพราะเป็นสัดส่วนเพียง 21% เทียบกับประมาณการรายได้ปีนี้ของเรา และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมเฉพาะหลักทรัพย์ที่ทำการวิเคราะห์อยู่ที่มีสัดส่วนเป็น 48%

คงคำแนะนำ ขาย ราคาปิดสูงกว่าราคาพื้นฐาน 7% กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 4.84 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 58 ที่ 9 เท่า คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรปีนี้และปีหน้าเป็นเพียงเล็กน้อยเทียบกับ เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนคือ 3% และ 4% ตามลำดับ สำหรับประเด็นการเก็งกำไรเรื่องการถูกซื้อกิจการ เพราะราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมาก ก็เป็นไปตามที่เราคาดคือ ราคาหุ้นจะปรับลงเมื่อไม่มีความคืบหน้าเรื่องข่าวนี้ เพราะที่ผ่านมามีนักลงทุนสนใจแค่เพียงเบื้องต้นเท่านั้น ด้านจุดดีของบริษัทคือ จ่ายเงินปันผลได้มาก