SIRI กับ Asset Light Model

จากกรณีบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ประกาศแผนใช้เงิน 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,800 ล้านบาท) เพื่อลงทุน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก ถือเป็นการขยายฐานการลงทุนธุรกิจอื่นๆ ครั้งสำคัญ เพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย ด้วยโมเดลธุรกิจแบบ Asset Light ในยุคปฏิวัติดิจิทัล เพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วมและโอกาสการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยมูลค่าเพิ่มจากบริษัททั้ง 6 แห่ง จะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของแสนสิริ ได้อีกทางหนึ่งด้วย


พลวัตปี 2017 : สุภชัย ปกป้อง (แทน)

จากกรณีบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ประกาศแผนใช้เงิน 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,800 ล้านบาท) เพื่อลงทุน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของโลก ถือเป็นการขยายฐานการลงทุนธุรกิจอื่นๆ ครั้งสำคัญ เพื่อสร้างพันธมิตรในประเภทธุรกิจอันหลากหลาย ด้วยโมเดลธุรกิจแบบ Asset Light ในยุคปฏิวัติดิจิทัล เพื่อสร้างโอกาสจากการผนึกกำลังร่วมและโอกาสการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยมูลค่าเพิ่มจากบริษัททั้ง 6 แห่ง จะส่งผลดีต่อธุรกิจหลักของแสนสิริ ได้อีกทางหนึ่งด้วย

การร่วมผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรที่หลากหลายดังกล่าว จึงเป็นการพลิกโฉม “แสนสิริ” เพื่อสร้างการเติบโตสู่อนาคต โดยให้ความสำคัญ 3 ด้าน คือ 1) การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก 2) การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการพักอาศัย (PropTech) ร่วมกับผู้พัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำ 3) การเสริมสร้างบทบาทความเป็นผู้นำและขยายฐานกลุ่มเป้า หมายผ่านสื่อไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยม

พร้อมกันนี้ถือเป็นโมเดลใหม่เพื่อกระจายการลงทุนหลากหลายมากขึ้น ตามแผน 3 ปี (2560-2563) วางงบลงทุนในธุรกิจใหม่หรือสตาร์ทอัพ ภายใต้สิริเวนเจอร์ 1,500 ล้านบาท ส่วนแผนดำเนินงานปี 2561 วางเป้าหมายยอดขายเติบโต 10-15% จากปีนี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ 40,000 ล้านบาท พร้อมตั้งงบซื้อที่ดิน 12,000-13,000 ล้านบาท

การลงทุนข้างต้นถือเป็นการส่งเสริมให้ “แสนสิริ” เป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศมากขึ้นแม้บางธุรกิจอาจไม่ได้มีความ สัมพันธ์กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่สามารถช่วยสร้าง Brand Awareness ให้ “แสนสิริ” ได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ “แสนสิริ” เริ่มก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำด้านการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ Lifestyle หนุ่มสาว กลุ่ม Millennials ที่มีความต้องการในแบบที่แตกต่างจากกลุ่ม Gen X หรือรุ่นก่อนหน้านี้ โดยกลุ่ม Millenials เป็นกลุ่มที่เริ่มมีทรัพย์สินและกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้น ที่สำคัญ “แสนสิริ” สามารถใช้ประโยชน์จาก Know How ต่างๆ ของบริษัทเหล่านี้ อาทิ Host Maker มาพัฒนาการบริหารของกลุ่ม Plus Property ได้เช่นกัน โดย 6 ธุรกิจใหม่ดังกล่าว ประกอบด้วย

1) สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล (The Standard) เจ้าของแบรนด์“เดอะ สแตนดาร์ด” เป็นแบรนด์ที่ทรงพลังในธุรกิจบูติกโฮเทล มีโรงแรมในเครือทั้งในนิวยอร์ก, ลอสแอนเจลิส และไมแอมี พร้อมเปิดที่ลอนดอนเพิ่มอีก โดย “แสนสิริ” ถือหุ้น 35% โดยมีแผนนำ เดอะ สแตนดาร์ด ไปเป็นเชนบริหารทั้งในกรุงเทพฯและภูเก็ต

2) แอปพลิเคชั่นวันไนท์ (One Night) เป็นแอปพลิเคชั่นสำหรับจองโรงแรมที่พัฒนาโดยบริษัท สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยแสนสิริมีแผนจะพัฒนาวัน ไนท์ให้เติบโตในโซนเอเชียเพิ่มทั้งในไทย, ฮ่องกง, สิงคโปร์ และจีน เป็นต้น

3) โฮสต์เมกเกอร์ (Hostmaker) บริษัทผู้ให้บริการการเช่าที่พักอาศัยและผู้บริหารการจองที่พัก อันดับหนึ่งของ Aribnb โดยแสนสิริ มองเห็นเทรนด์การแบ่งที่พักอาศัยให้เช่ากำลังเติบโต โดยโฮสต์เมกเกอร์ ดำเนินธุรกิจในลอนดอน โรม ปารีส และบาร์เซโลนา พร้อมเตรียมขยายไปที่ลิสบอน โปรตุเกสด้วย โดยการร่วมมือกับแสนสิริจะทำให้โฮสต์เมกเกอร์ได้รับการสนับสนุนขยายธุรกิจสู่เอเชียเป็นการสร้างรายได้ใหม่ๆ จากตลาดนอกประเทศให้กับแสนสิริด้วย

4) จัสท์โค (JustCo) ผู้ให้บริการโคเวิร์กกิ้งสเปซที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยแสนสิริมองว่าในอนาคตองค์กรขนาดใหญ่นิยมใช้สถานที่ทำงานแบบโคเวิร์กกิ้งสเปซมากขึ้น โดยแสนสิริและจัสท์โคมีแผนร่วมกันเปิดจัสท์โคใหม่ 4 สาขาในกรุงเทพฯภายในปี 2561

5) ฟาร์มเชลฟ์ (Farmshelf) ผู้พัฒนานวัตกรรมฟาร์มอัจฉริยะ เพื่อการปลูกผักสดสะอาดไว้บริโภค ในที่พักอาศัย ออฟฟิศ โดยใช้แอปพลิเคชั่นและเทคโนโลยีในการดูแล โดยจะพัฒนาแล้วนำมาใช้ในโครงการของบริษัทต่อไป โดยเริ่มทดลองใช้โครงการแรก เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ช่วงต้นปี 2561

6) โมโนเคิล (Monocle) แบรนด์สื่อทรงอิทธิพลระดับโลก ครอบคลุมทั้งสิ่งพิมพ์ ออนไลน์วิทยุ ภาพยนตร์ รีเทล และธุรกิจบริการ โดยโมโนเคิล จะช่วยส่งเสริมแบรนด์แสนสิริให้โดดเด่นยิ่งขึ้น อีกทั้งบริษัทเห็นโอกาสพัฒนาธุรกิจ ที่ใช้ชื่อแบรนด์ร่วมกันในเซ็กเตอร์ใหม่ในอนาคต ซึ่งบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการที่พักอาศัยแบบมิกซ์ยูส แนวคิดใหม่ร่วมกับโมโนเคิลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ช่วงปี 2561

ก้าวย่างสำคัญของ “แสนสิริ” ครั้งนี้ ถือเป็นการมุ่งตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ด้วยการสร้างสรรค์แพลตฟอร์มระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ด้วยเป้าหมายผลักดันให้ “แสนสิริ” ก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ระดับโลกเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งการผนึกพันธมิตรที่หลากหลายจะเป็น การพลิกโฉม “แสนสิริ” เพื่อสร้างการเติบโตสู่อนาคต ที่น่าจับตาอย่างยิ่งทีเดียว..!?

Back to top button