เน้นทำรอบ

*ข้อมูลการลงทุนชุดหนึ่งที่ทุกคนรับรู้กันเป็นอย่างดีก็คือ นักลงทุนสถาบันเป็นตัวการที่ทำให้ดัชนี “ขึ้นแรง ลงแรง” โดยอาศัยตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นตัวชี้นำว่า วันนี้ควรขาย หรือวันนี้ควรซื้อ ส่งผลให้ภาพการเคลื่อนตัวของดัชนีนับตั้งแต่ต้นปี ผันผวนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เดี๊ยนยังคงยืนกรานให้แมงเม่าปีกแข็งเน้นหนักไปที่เรื่อง “เน้นทำรอบ” พร้อมกับพยายามท่องให้ขึ้นใจว่า “กำไรน้อยๆ แต่นานๆ” นะจ๊ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*ข้อมูลการลงทุนชุดหนึ่งที่ทุกคนรับรู้กันเป็นอย่างดีก็คือ นักลงทุนสถาบันเป็นตัวการที่ทำให้ดัชนี “ขึ้นแรง ลงแรง” โดยอาศัยตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นตัวชี้นำว่า วันนี้ควรขาย หรือวันนี้ควรซื้อ ส่งผลให้ภาพการเคลื่อนตัวของดัชนีนับตั้งแต่ต้นปี ผันผวนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เดี๊ยนยังคงยืนกรานให้แมงเม่าปีกแข็งเน้นหนักไปที่เรื่อง “เน้นทำรอบ” พร้อมกับพยายามท่องให้ขึ้นใจว่า “กำไรน้อยๆ แต่นานๆ” นะจ๊ะ

*เนื่องจากข้อมูลที่ปรากฏให้เห็นมันฟ้องว่า หากออกของไม่ทันนักลงทุนสถาบัน คงต้องรออีกหลายวันเลยทีเดียว “โมนิก้า” ถึงถามว่า วานนี้ดัชนีทะยานขึ้นไปถึง 1,699.85 จุด สุดท้ายอ่อนตัวลงมาปิดที่ 1,691.25 จุด เหลือบวกแค่  0.99  จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.81 หมื่นล้านบาท มันคือเกมโหดของพวกนักลงทุนสถาบันใช่ไหม? หากคิดว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ควรกำหนดกรอบทำกำไรในแต่ละวันให้แคบลงนะคะ

*งานนี้เดี๊ยนไม่ได้มีเจตนาปรักปรำ หรือให้ร้ายนักลงทุนสถาบัน เพราะข้อมูลทั้งหมดที่หยิบยกมาบรรยายให้ฟังในคราวนี้ มันเป็นการฉายมุกเดิมๆ ที่ถูกนำมาเล่นหลายครั้ง ซึ่งบางวันก็มีคำอธิบายออกมาพร้อมกันว่า ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว จึงไล่ซื้อหุ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย พอคล้อยหลังแค่วันเดียว ก็มีคำอธิบายออกมาใหม่ว่า รู้สึกกังวลกับเรื่องนั้น เรื่องนี้..สุดท้ายเลยไม่รู้ว่า มั่นใจ หรือ ไม่มั่นใจ เจ้าค่ะ

*เหมือนกับในรายของ BJC เด้งขึ้นสวนผลงานราวกับมีของดีเก็บไว้ในตัว “โมนิก้า” ถือเป็นแค่กิมมิคที่นักเล่นต้องอ่านจังหวะให้ขาด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเที่ยวนี้ ยังไม่ใช่จุดเปลี่ยนที่สำคัญของหุ้น แถมตัวแปรหลายอย่างยังส่อไปในทางลบ และการที่หุ้นขึ้นมายืนอยู่ที่ 56.75 บาท บวกไป 2.50 บาท หรือขึ้นไป 4.60% ด้วยมูลค่า 1.23 พันล้านบาท ย่อมตีความได้ว่า ดันหุ้นหาคนร่วมทาง.. หากจะกลับทิศจริงๆ วันนี้ต้องมีแรงซื้ออัดเข้ามาอีกนะคะ

*สถานการณ์ดังกล่าวคล้ายคลึงกับ TMB  คุ้มกับความเสี่ยงจริงไหม? หลังหุ้นพยายามทะยานขึ้นทำ new high ตลอดเวลา  ล่าสุดดูเหมือนจะได้คำตอบอย่างเป็นทางการว่า คุ้มค่ากับผลตอบแทนที่จะได้รับ วานนี้ถึงดันหุ้นขึ้นมาปิดที่ 2.72 บาท บวกไป 0.12  บาท หรือขึ้นไป 4.60% ด้วยมูลค่า 1.85 พันล้านบาท ส่วนวันนี้ยังจะแรงต่ออีกไหม? ต้องติดตามดูกันต่อไปเจ้าค่ะ

*เช่นเดียวกับพวกม้ามืด III กระชากขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ชนิดที่ทำให้นักลงทุนสไตล์คุณค่าต้องหันมามองกันอีกครั้ง “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องของไทม์ไลน์ที่เวียนมาบรรจบพอดี บวกกับมีเจ้าภาพใหญ่เข้ามาทยอยเก็บหุ้น ทุกอย่างเลยดูลงตัวแบบพอดิบพอดี พร้อมกับเกิดจินตนาการกว้างไกลไปถึงขั้นที่ว่า ราคาปิดวานนี้ที่ 8.90  บาท บวกไป 0.55 บาท หรือขึ้นไป 6.60% ด้วยมูลค่า  117  ล้านบาท มันเป็นแรงหนุนให้หุ้นทะยานขึ้นไปทำ new high อีกระยะหนึ่ง..จริงหรือไม่ ต้องดูกันต่อไป..อิอิอิ

*เหมือนกับในรายของ ASIAN หากดูอย่างผิวเผินย่อมตีความว่า การอ่อนตัวลงมาปิดที่ 12.70 บาท ลบไป 0.60  บาท หรือลงไป 4.50% ด้วยมูลค่า 216  ล้านบาทเป็นการเล่นรอบธรรมดาๆ  แต่ถ้าเจาะลึกลงไปอีกนิดหน่อยจะเห็นว่า ในช่วง  2 เดือนที่ผ่านมา มีการดันหุ้นขึ้นไปถึง 15 บาทหลายครั้งด้วยกัน ต่อจากนั้นปล่อยให้ร่วงลงมายืนแถว 13 บาท “โมนิก้า” ถึงกล้าฟันธงว่า งานนี้เหมาะเฉพาะพวกที่ถนัดทำเร็ว..เชื่อหัวน้องโมเถอะ

*ส่วนในรายของ AMATA หากมองแบบไม่คิดอะไรมากมาย ต้องยอมรับว่า ประเด็นที่เป็นชนวนเหตุให้หุ้นทะยานขึ้นอย่างร้อนแรง ก็คงมาจากเรื่องกำไรโต “โมนิก้า” ถึงต้องถามผู้เล่นทั่วสารทิศว่า คิดอย่างไรกับหุ้นตัวนี้ เพราะหุ้นเพิ่งทะยานขึ้นมาทำ new high ในรอบ 4 ปี 7 เดือน ด้วยการปิดที่ระดับ 24.80 บาท บวกไป 1.50 บาท หรือขึ้นไป 6.45%  ด้วยมูลค่า 1.35 พันล้านบาท จึงมีลุ้นเห็นหุ้นไปต่อได้อีก เพราะหุ้นเทรดบนค่า P/E 13 เท่าเองเจ้าค่ะ

*สำหรับในรายของ JAS พุ่งขึ้นแรงแบบผิดหูผิดตา ก่อนจะไปแตะยอด 7.45 บาท ก็มาจากข่าว “ตัวเต็งเข้าคำนวณ SET100” รอบครึ่งแรกปี 61 แต่เดี๊ยนกลับมองการขึ้นเที่ยวนี้เป็นเพียงการฟื้นตัวระยะสั้น เพราะผลงานไตรมาส 3 ยังไม่เตะตา แถมสตอรี่ขายสินทรัพย์เข้า JASIF ก็ล่าช้ากว่ากำหนด ถึงได้เห็นแรงซื้อแผ่ว แรงขายเพียบ วานี้หุ้นถึงทำดีสุดได้แค่ 7.05 บาท บวกไป 0.15 บาท หรือ 2.17% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 749.49 ล้านบาท ยังไงล่ะเจ้าค่ะ

*ส่วนในรายของ RS ทะยานขึ้นพรวดพราดขึ้นมาปิดที่ 26 บาท บวกไป 1.40 บาท หรือขึ้นไป 5.69% ด้วยมูลค่า 771.80 ล้านบาท พร้อมกับทำ All Time High เป็นว่าเล่น สะท้อนผลงานโตก้าวกระโดด หลังหันไปจับธุรกิจความสวยความงามแล้วได้ดิบได้ดี จนแทบจะย้ายสำมะโนครัวเข้าสู่หมวดพาณิชย์แทนบันเทิงซะแล้วแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นจุดเฝ้าระวังของนักเก็งกำไร เพราะสัญญาณเทคนิคชี้ว่าเข้าใกล้เขตซื้อมากเกินไป จึงน่าจะเหลือแก๊ปให้วิ่งอีกไม่มากเจ้าค่ะ

*ส่วนในรายของ SSP อาศัยความเชื่อผลงานไตรมาส 4 จะออกมาดีเป็นแรงผลัก หุ้นถึงขึ้นมาปิดที่ 9.30 บาท บวกไป 0.15 บาท ด้วยมูลค่า 115  ล้านบาท ถึงกระนั้นถ้ามองให้ลึกซึ้งกว่าเดิมจะเห็นว่า หุ้นตัวนี้มีดีอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว “โมนิก้า” ไม่จำเป็นต้องไปโปรโมตอะไรให้มากความ แต่อยากให้ระวังไว้นิดหนึ่งว่า หุ้นขึ้นมาค่อนข้างเยอะ จึงต้องระวังแรงเทขายทำกำไรไว้บ้างนะคะ

Back to top button