SEAFCO จะเข้าสู่ปีทอง

ปี 2561 นับว่า SEAFCO เข้าสู่ปีทองของงานภาครัฐก็ว่าได้ จากอุตสาหกรรมงานฐานรากในปี 2561 โดยเฉพาะงานภาครัฐ เช่น งานรถไฟฟ้าที่เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4 ปี 2560 ถึงไตรมาส 1 ปี 2561 คือ รถไฟฟ้าสายสีส้มและเหลือง อีกทั้งยังมีโครงการรถไฟฟ้าทางคู่ รวมถึงงานก่อสร้างมอเตอร์เวย์อีกหลายสาย ส่วนงานภาคเอกชนยังมีงานประมูลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานก่อสร้างอาคารสูงในกทม.


คุณค่าบริษัท

ปี 2561 นับว่าบริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เข้าสู่ปีทองของงานภาครัฐก็ว่าได้ จากอุตสาหกรรมงานฐานรากในปี 2561 โดยเฉพาะงานภาครัฐ เช่น งานรถไฟฟ้าที่เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4 ปี 2560 ถึงไตรมาส 1 ปี 2561 คือ รถไฟฟ้าสายสีส้มและเหลือง อีกทั้งยังมีโครงการรถไฟฟ้าทางคู่ รวมถึงงานก่อสร้างมอเตอร์เวย์อีกหลายสาย ส่วนงานภาคเอกชนยังมีงานประมูลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานก่อสร้างอาคารสูงในกทม.

ประกอบกับ ณ วันที่ 28 พ.ย. 2560 SEAFCO มีงานในมือ  (Backlog)  3,014 ล้านบาท (เป็นงานเฉพาะค่าแรง 78.9%) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่มีงานในตลาดที่อยู่ระหว่างประมูลอยู่อีกราว 73 โครงการ (ไม่รวมเมกะโปรเจ็กต์) มูลค่ารวม 6,722 ล้านบาท

รวมถึงการขยายตลาดในต่างประเทศนั้น ล่าสุดบริษัทได้งานโครงการ Landmark ที่เมียนมามูลค่าราว 100 ล้านบาทในเดือนพ.ย. 2560 ส่วนตลาดกัมพูชาอยู่ระหว่างขยายตลาด คาดว่าจะมีความคืบหน้ามากขึ้นในปี 2561

ส่วนช่วงไตรมาส 4 ปี 2560 ทางนักวิเคราะห์คาด SEAFCO จะมีกำไรสุทธิโตทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ด้วยแรงหนุนจากการรับรู้งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มและสีเหลือง รวมถึงงานก่อสร้างอาคารสูงในกทม. เช่น KSS Mixed-Used Development, ไนท์ บริดจ์ ไพรม์ สาทร, อาคารชุด ยูดีไลท์ จรัล 81, อาคารชุด เอส 47 เป็นต้น ซึ่งคาดหนุนให้ปี 2560 กำไรสุทธิโต 28.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ระดับ 200.3 ล้านบาท และคาดโตต่อ 34.6% จากงวดเดียวกันของปีก่อนในปี 2561

ขณะที่ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ช่วงไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 420.65 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 410.55 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 45.12 ล้านบาท หรือ 0.15 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 12.67 ล้านบาท หรือ 0.04 บาทต่อหุ้น สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายขายและบริหารได้ดีขึ้น เพราะมีรายการพิเศษจากการหนี้สงสัยจะสูญกลับรายการ 3.9 ล้านบาท

ส่วนผลการดำเนินงานงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,330.12 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,392.95 ล้านบาท ซึ่งผลกำไรของบริษัทขยับขึ้นมาอยู่ที่ 143.94 ล้านบาท หรือ 0.47 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 101.96 ล้านบาท หรือ 0.33 บาทต่อหุ้น แสดงให้เห็นว่าบริษัทยังคงมีความสามารถในการทำกำไร

ในขณะที่นักวิเคราะห์ บล.เออีซี   มองด้วยแนวโน้มของธุรกิจที่ยังโตสดใส หนุนโดย Backlog ที่สูงกว่า 2.7 เท่าของค่าเฉลี่ย Backlog ย้อนหลัง 2 ปีจากทั้งงานภาครัฐที่กำลังขยายตัวและงานภาคเอกชนที่เข้ามาต่อเนื่อง อีกทั้งราคาหุ้นยังมี Upside 11.7% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2561 ที่ 10 บาท และคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรช่วงครึ่งหลังของปี 2560 อีก 0.092 บาท คิดเป็น Div. Yield 1.0% จึงคงแนะนำ “ซื้อ”

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ 23,449,561 หุ้น 7.67%
  2. น.ส.ณัฐฐกานต์ ทัศนนิพันธ์ 15,593,228 หุ้น 5.10%
  3. น.ส.ณัฐฐวรรณ ทัศนนิพันธ์ 15,190,363 หุ้น 4.97%
  4. JPMORGAN THAILAND FUND 12,789,600 หุ้น 4.18%
  5. นายทัชชะพงศ์ ประเวศวรารัตน์ 10,246,100 หุ้น 3.35%

รายชื่อกรรมการ

  1. นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ประธานกรรมการบริษัท
  2. นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ กรรมการอิสระ
  3. นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
  4. นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการ
  5. นายเผด็จ รุจิขจรเดช กรรมการ

Back to top button