จับตาPTGก้าวสู่บริษัทรายได้แสนล้าน บุกพลังงานทดแทน-ปาล์มคอมเพล็กซ์ เป้าสูงสุด28บ.

จับตา PTG ก้าวสู่บริษัทรายได้แสนล้านในปี 61 หลังบุกพลังงานทดแทน-ปาล์มคอมเพล็กซ์เต็มสูบ ลุ้นราคาวิ่งสู่ราคาเป้าหมายสูงสุด 28 บ.


สืบเนื่องจากกรณีที่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ระบุว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการทำ Pre-commissioning กระบวนการผลิตไบโอดีเซล และน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภค สำหรับทดสอบกระบวนการผลิตภายในปลายปี 2560 นี้

โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 โดยโครงการดังกล่าวจะมีกำลังการผลิตไบโอดีเซล 450,000 ลิตรต่อวัน และน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภค 200,000 ลิตรต่อวัน

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะสามารถรับรู้รายได้อยู่ที่ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 40 โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ในโครงการดังกล่าวจำนวน 3,300 ล้านบาท

จากประเด็นดังกล่าวคาดว่าจะส่งผลดีต่อบริษัทในแง่ของรายได้ที่จะมีเพิ่มเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ 6,000 ล้านบาทต่อปี ด้านนักวิเคราะห์มองว่าโครงการดังกล่าวจะสร้างกำไรให้กับบริษัท 200 บาทต่อปี ขณะที่จากการตรวจสอบข้อมูลของ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” พบว่า ในปี 2559 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 6.50 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 1.07 พันล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมีรายได้ 6.22 หมื่นล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 674.41 ล้านบาท

 

โดยก่อนหน้านี้ บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่าจะเห็นแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องไปยังช่วงปลายปีจากการเข้าสู่ช่วง high season ของการเดินทางและขนส่ง นอกจากนี้ คาดจะเริ่มเห็นการ breakeven ของธุรกิจ non-oil โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทย และธุรกิจ palm complex ที่จะเริ่มเดินเครื่องในต้นปีหน้า

สำหรับไตรมาส 4/60 ซึ่งปกติเป็นช่วง high season เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของปริมาณขาย และธุรกิจ non-oil คาดจะเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นจาก 1) ธุรกิจกาแฟ Punthai คาดจะ breakeven ในปลายไตรมาส 4/60 และเป็นบวกในปีหน้า รวมถึงการดำเนินงาน GFA ด้วยหลังจากมีการปรับโครงสร้างภายใน

ขณะที่เริ่มเดินเครื่องทดสอบ Palm Complex และจะเริ่ม COD ในไตรมาส 1/61 ซึ่งบริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งกำไรจากโครงการนี้ราว 200 ล้านบาท

ทั้งนี้ยังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ PTG ด้วยราคาเป้าหมาย 28 บาท อิงจากการประเมินมูลค่าด้วยวิธี DCF โดยปัจจัยเสี่ยงสำหรับ PTG ได้แก่ 1) ค่าการตลาดที่อ่อนตัวกว่าที่เราคาดไว้ 2) ปริมาณขายน้ำมันที่ต่ำกว่าคาด และความล่าช้าของธุรกิจ non-oil

ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” PTG ให้ราคาเป้าหมาย 25 บาท

 

อนึ่งก่อนหน้านี้ นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2561 ทะลุ 1 แสนล้านบาท ตามปริมาณการขายที่คาดว่าจะเติบโต 20% จากระดับ 3,400 ล้านลิตรในปีนี้ โดยมีแผนจะขยายสถานีบริการน้ำมันเป็น 2,000 แห่ง จากปีนี้ที่กว่า 1,700 แห่ง และมีจำนวนสมาชิกบัตร PT Max Card เพิ่มเป็น 9.60 ล้านสมาชิก จากระดับ 7.40 ล้านสมาชิกในปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบลงทุนในปีหน้าราว 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนขยายและปรับปรุงธุรกิจหลัก 3,500 ล้านบาท ,ธุรกิจ Non-oil ประมาณ 500 ล้านบาท และธุรกิจใหม่ 1,000 ล้านบาท เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มขององค์กรในระยะยาว โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อกิจการ (M&A) และร่วมลงทุน ในธุรกิจอาหารและบริการ 2-3 ดีล มูลค่าการลงทุนราว 200 ล้านบาท/ดีล ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในช่วงไตรมาส 1/61

สำหรับความร่วมมือกับ บริษัท สามมิตรมอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ในการเปิดศูนย์ซ่อมบำรุงรถบรรทุกครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทย (PRO TRUCK) ซึ่งมีสาขาแรกตั้งอยู่ภายในสถานีบริการ PT สีคิ้ว จ.นครราชสีมา นั้นคาดว่า PRO TRUCK จะสามารถขยายสาขาได้ถึง 20 สาขาในสิ้นปี 61 และคาดว่าปี 65 จะเพิ่มขึ้นเป็น 100 สาขา ซึ่งใช้งบลงทุนสาขาละ 7-10 ล้านบาท ส่วนศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ทั่วไป (AUTOBACS) เตรียมเปิดสาขาเพิ่ม 48 สาขา และในปี 65 จะเพิ่มขึ้นเป็น 240 สาขา พร้อมกันนี้เตรียมขยายที่พักรถครบวงจร (PT MAX CAMP) 10 แห่ง แต่แผนระยะยาวต้องรอดูผลตอบรับก่อนว่าเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ บริษัทเตรียมที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าจากขยะ หลังจากที่รัฐบาลเริ่มให้ความชัดเจนมากขึ้น โดยบริษัทจะเริ่มลงทุนเพื่อเป็นโครงการตัวอย่างภายในพื้นที่ภาคใต้ กำลังการผลิต 4.9-6 เมกะวัตต์ (MW) โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปี 61

ขณะที่ ในปี 65 บริษัทยังคงมั่นใจว่าสัดส่วนกำไรสุทธิจากธุรกิจ non-oil จะเพิ่มขึ้นเป็น 60% จากปีนี่คาดจะอยู่ที่ 10% ซึ่งหลังจากสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ non-oil เพิ่มขึ้น ก็คาดว่าอัตรากำไรสุทธิจะมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเบื้องต้นคาดจะอยู่ที่ราว 2.5-2.6% และหลังจากนั้นจะมีการเติบโตปีละ 0.2-0.3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.08%

 

Back to top button