WHA ตอกย้ำผู้นำการให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร พร้อมสยายปีกครอบคลุมทั่วอาเซียน

WHA ตอกย้ำผู้นำการให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร พร้อมสยายปีกครอบคลุมทั่วอาเซียน เตรียมทุ่มงบฯ 6.6 พันลบ. จากแผนการลงทุน 5 ปี รวม 4.3 หมื่นลบ. (ระหว่างปี 59-63) ด้วยปัจจัยเอื้อจากสภาพเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว บวกกับความน่าสนใจลงทุนของประเทศที่ดีขึ้นจากโครงการสนับสนุนของภาครัฐ


น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจในประเทศ ตลอดจนระดับภูมิภาคและทั่วโลกที่ปรับตัวดีขึ้น WHA ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำด้านการให้บริการโซลูชั่นครบวงจรด้านโลจิสติกส์และนิคมอุตสาหกรรมของประเทศ พร้อมเล็งหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เน้นอุตสาหกรรมบริการมูลค่าสูง และเตรียมรุกขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2560 ธุรกิจของ WHA ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เช่น มีสัญญาเช่าพื้นที่และพื้นที่ที่ตกลงกับผู้เช่าล่วงหน้า (Pre-leased) เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 161,500 ตร.ม. ในรูปแบบโรงงาน Built-to-Suit (BTS) ที่ประกอบด้วยคลังสินค้า, ศูนย์กระจายสินค้า และโรงงาน รวมถึงโรงงานสำเร็จรูป (Ready-Built Factories – RBF) คลังสินค้าสำเร็จรูป (Ready-Built Warehouse – RBW) และกลุ่มคลังสินค้า (Warehouse Farms) มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรมเกือบ 1,000 ไร่ คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าร้อยละ 50

นอกจากนี้ นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (HESIE 4) ยังได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กรศ.) ให้เป็นเขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรม สำหรับอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ดับบลิวเอชเอ เหมราช อินดัสเตรียล โซน เฟสแรก ในจังหวัดเหงะอาน ประเทศเวียดนามได้รับการอนุมัติเป็นที่เรียบร้อย

รวมถึงการนำบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าตลาดรวม 20,000 ล้านบาท การเริ่มให้บริการศูนย์ข้อมูล 3 แห่ง และบริษัทสามารถลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลงเหลือ 1.2 เท่า ส่งผลให้ทริสเรทติ้งปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทเป็นระดับ “A-”

นอกจากธุรกิจหลักแต่แรกเริ่มของ WHA ด้วยแนวคิด Built-to-Suit (BTS) กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์วางแผนที่จะเพิ่มพื้นที่ให้เช่าขึ้นอีกร้อยละ 11 ในปี 2561 จากเดิม 2,151,000 ตร.ม. เป็น 2,391,000 ตร.ม. โดยจะเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมบริการที่สร้างมูลค่าสูง อาทิ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และสินทรัพย์ให้เช่าที่สร้างมูลค่าสูง สอดคล้องไปกับการพัฒนาอี-คอมเมิร์ซ

โดยเมื่อช่วงเดือนธ.ค.60 ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามในข้อตกลงกับบริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด ธุรกิจร่วมทุนระหว่างกลุ่มเซ็นทรัล และเจดีดอทคอม หนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจอี-คอมเมิร์ซจากประเทศจีน เพื่อเช่าคลังสินค้ารวมพื้นที่ 6,848 ตร.ม. ที่ดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร บนถนนบางนา-ตราด นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมขยายพื้นที่เฟสสองให้กับท็อปส์ มาร์เก็ต ของกลุ่มเซ็นทรัลอีกด้วย

ทั้งนี้บริษัทเตรียมดำเนินการขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม เมียนมา มาเลเซีย และกัมพูชาต่อไป โดยในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเน้นอุตสาหกรรมเพื่อการบริโภคภายในประเทศมีศักยภาพสูงมาก ดับบลิวเอชเอก็มีพื้นที่คลังสินค้าให้เช่าแบบ Built-to-suit อยู่ 25,688 ตร.ม. ในจังหวัดบันเติง จาการ์ตาตะวันตก

สำหรับการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) นั้น จะดำเนินการผ่านกอง REIT สองกองคือ WHART และ HREIT

“ในประเทศไทย เราตั้งตารอที่จะได้มีโอกาสช่วยผลักดันให้เกิดกลุ่มอุตสาหกรรมและบริการใหม่ ๆ ในอีอีซี ทั้งนี้ในอินโดนีเซียและเวียดนาม ทั้งสองประเทศต้องการพัฒนาศักยภาพด้านโลจิสติกส์ให้ทันสมัยและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเราจะใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกันในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมของเรา รวมทั้งการเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทขนาดใหญ่ เช่น ไดวะ เฮาส์ อินดัสทรี จากประเทศญี่ปุ่นด้วย” น.ส.จรีพร กล่าว

ส่วนในปี 2561 ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของ WHA มีแผนที่จะให้บริการนิคมอุตสาหกรรมรวม 10 แห่งในประเทศไทย และอีก 1 แห่งในเวียดนาม พื้นที่รวม 39,300 ไร่  โดยตั้งเป้าขายที่ดิน 1,400 ไร่ จากจำนวน 1,000 ไร่ในปี 2560 โดยมีที่ดินรอขายอีกกว่า 10,000 ไร่

โดยส่วนแบ่งตลาดด้านการขายที่ดินอุตสาหกรรมเฉลี่ยร้อยละ 34 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าร้อยละ 50 ในปี 2560 โดยกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของ WHA เตรียมขยายธุรกิจไปสู่โครงการอุตสาหกรรมบริการที่มีมูลค่าสูงและนิคมฯ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

ทั้งนี้บริษัทจะเน้นที่อุตสาหกรรมการบิน, อุตสาหกรรมหุ่นยนต์, อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่, อุตสาหกรรมดิจิทัล, อุตสาหกรรมการแพทย์ และอุทยานนวัตกรรม ตามแผนโครงการอีอีซี เพื่อคว้าโอกาสจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง

รวมถึงท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟสสาม โครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-ระยอง และโครงการรถไฟรางคู่ WHA จะเปิดตัวนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 3 (HESIE 3) ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 10 ของบริษัทในจังหวัดชลบุรี ซึ่งมีพื้นที่รวม 2,200 ไร่ ในไตรมาส 4/61

ส่วนกลุ่มธุรกิจดิจิทัลของดับบลิวเอชเอ จะดำเนินการเพิ่มตู้แร็คอีก 156 ตู้ในดาต้าเซ็นเตอร์ทั้ง 3 แห่ง หรือเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 34 จากเดิมที่มีตู้แร็คทั้งสิ้น 461 ตู้ มาเป็น 617 ตู้ พร้อมขยายบริการไฟเบอร์ออพติก (FTTx) จากปัจจุบันที่ให้บริการใน 5 นิคมอุตสาหกรรม ให้ครอบคลุมทุกนิคมอุตสาหกรรม ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการโซลูชั่นครบวงจรแก่ลูกค้า ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์เหล่านี้จะให้บริการโครงข่ายและโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม ให้เช่าและจัดหาบริการด้านอุปกรณ์ไอที คลาวด์คอมพิวติ้งและบิ๊กดาต้า บริการหุ่นยนต์อุตสาหกรรมและเครื่องจักรอัตโนมัติ เครื่องมือตรวจสอบและระบบควบคุม เครื่องหาปริพันธ์ระบบ ไปจนถึงบริการอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ

ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจดิจิทัลนับเป็นภาคอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับนโยบายโครงสร้างพื้นฐานในโครงการอีอีซีและการลงทุนด้านเทคโนโลยี สะท้อนถึงโอกาสสำคัญที่จะเติบโตและพัฒนาต่อไปได้ในอนาคต ด้วยการเติบโตของระบบอีคอมเมิร์ซ อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ และบทบาทของ “บิ๊กดาต้า” ที่กำลังมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นที่ต้องการมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

“ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ ด้วยการเป็นผู้ให้บริการแบบครบวงจรสำหรับบริการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ครอบคลุมบริการและโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ที่ครบครัน

อีกทั้งยังจับมือทำงานร่วมกับพันธมิตรผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีชั้นนำมากมาย ในการให้บริการศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ โครงข่ายไฟเบอร์ออพติค และเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วย” นางสาวจรีพร กล่าว

ด้าน มร. เดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม และการลงทุนต่างประเทศ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ด้วยลูกค้ากว่า 700 ราย สัญญาซื้อขายและเช่าที่ดินกว่า 1,000 สัญญา ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมของ WHA ได้รับประโยชน์หลายประการจากฐานลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมโครงการอีอีซี และดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ มากมายจากประเทศจีน ญี่ปุ่น และยุโรป

โดยนักลงทุนให้ความสนใจอย่างมากในเรื่องทำเลที่ตั้งยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ต้นทุนที่เหมาะสม และทักษะแรงงานที่มีฝีมือ ยังไม่นับรวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดีอีกด้วย ส่วนในเวียดนามบริษัทจะดำเนินการพัฒนาเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในจังหวัดเหงะอาน อย่างต่อเนื่อง โดยเฟสที่ 1 จะมีพื้นที่ราว 3,110 ไร่ จากพื้นที่รวม 20,000 ไร่ของทั้งโครงการ

ขณะที่ นายวิเศษ จูงวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร WHAUP เปิดเผยว่า ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน ภายใต้การบริหารงานของ WHAUP ยังคงเดินหน้าขยายการเติบโตสอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอช-เหมราช ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเจาะกลุ่มลูกค้านอกนิคมอุตสาหกรรมเพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อาทิ เทศบาล และอาคารเพื่อการพาณิชย์

รวมไปถึงระบบจัดการน้ำเสีย จะยังคงขยายบริการในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ-เหมราชทั้งหมดในประเทศไทย รวมไปถึงนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 3 (HESIE 3) และการเริ่มให้บริการของเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในจังหวัดเหงะอาน ประเทศเวียดนาม รวมถึงโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ในเวียดนามด้วย

นอกจากนี้ WHAUP ยังมีแผนที่จะเจาะตลาด CLMV และเพิ่มบริการใหม่ๆ เช่น การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ การกรองแร่ธาตุออกจากน้ำ และการกรองน้ำเค็ม โดยประมาณการณ์กำลังการผลิตน้ำสำหรับปี 2561 อยู่ที่ 113 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากปี 2560 หลังความต้องการใช้งานที่สูงขึ้นของลูกค้าปัจจุบันและลูกค้ารายใหม่

รวมถึงอัตราการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นจากโรงไฟฟ้าที่เพิ่งเดินเครื่องผลิต ทั้งหมดนี้จะช่วยผลักดันให้ WHAUP รั้งตำแหน่งผู้ให้บริการด้านสาธารณูปโภคเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยต่อไป

สำหรับธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ปัจจุบัน WHAUP ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจำนวน 15 โครงการ (ในประเทศไทย 14 โครงการ และอีกหนึ่งโครงการในประเทศลาว) โดยจะมีกำลังการผลิตรวมทั้งหมด 2,540 เมกะวัตต์ในปี 2562

โดย WHAUP มีสัดส่วนการถือครองกำลังการผลิตไฟฟ้าจำนวน 543 เมกะวัตต์  ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าอยู่ในระหว่างการดำเนินการ 11 โครงการด้วยกำลังการผลิต 478 เมกะวัตต์ (กำลังการผลิตตามสัญญา 2,287.4 เมกะวัตต์) ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) 3 แห่ง ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัทโกลว์  โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) จำนวน 6 แห่ง ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท บี กริม (1 แห่ง ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี)

รวมถึงกับบริษัท กัลฟ์ เจพี (1 แห่ง ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมเหมราชระยอง) และกับบริษัท กัลฟ์ เอ็มพี (4 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด และนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด) และยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ VSPP ซึ่งร่วมมือกับกัลฟ์และกันกุลอีก 2 แห่ง

โดยปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าอยู่ในระหว่างพัฒนา 4 โครงการ ด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น 65 เมกะวัตต์ (กำลังการผลิตตามสัญญา 253 เมกะวัตต์) โดยคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในปี 2561 และ 2562 ซึ่งในที่นี้รวมถึงโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 2 แห่ง ภายใต้ความร่วมมือกับกัลฟ์ เอ็มพี โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ VSPP อีก 1 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานจากขยะ VSPP อีก 1 แห่ง ซึ่งร่วมมือกับโกลว์และสุเอซ ผ่านธุรกิจร่วมทุน บริษัท ชลบุรี คลีนเอ็นเนอร์ยี จำกัด  หรือ CCE

นอกจากการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานดั้งเดิมอย่างถ่านหิน น้ำ และแก๊สแล้ว WHAUP ยังวางแผนพัฒนาพลังงานทางเลือก อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานขยะอีกด้วย ด้วยพื้นที่บนหลังคาในนิคมอุตสาหกรรม และอาคารศูนย์กระจายสินค้าและโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอ กว่า 2.1 ล้านตารางเมตร จะเป็นช่องทางที่สำคัญในการต่อยอดการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงอาคารอื่นๆ นอกเขตนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ-เหมราช ด้วย

“สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภคในประเทศไทย เรามีแผนขยายธุรกิจไปสู่บริการจ่ายก๊าซธรรมชาติ ทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม ส่วนในต่างประเทศ ประเทศเวียดนามและพม่าจะเป็นประเทศแรกๆ สำหรับการลงทุนของกลุ่มธุรกิจนี้

ในด้านพลังงาน เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนาพลังงานรูปแบบเดิมร่วมกับพันธมิตร ควบคู่ไปกับพลังงานหมุนเวียน รวมถึงแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเวียดนาม” นายวิเศษ กล่าว

Back to top button