GULF พุ่งอีก 9% เดินหน้าทุบสถิติ “ออลไทม์ไฮ” ต่อเนื่อง รับกำไรโตเด่น

GULF เดินหน้าทุบสถิติ "ออลไทม์ไฮ" ต่อเนื่อง พุ่งอีกเกือบ 9% รับกำไรโตเด่น ทะลุเป้า 80 บ. โดยล่าสุด ณ เวลา 15.17 น. ราคาอยู่ที่ 83 บาท เพิ่มขึ้น 6.50 บาท หรือคิดเป็น 8.50% สูงสุดที่ระดับ 83.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 76 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.41 พันล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ล่าสุด ณ เวลา 15.17 น. ราคาอยู่ที่ 83 บาท เพิ่มขึ้น 6.50 บาท หรือคิดเป็น 8.50% สูงสุดที่ระดับ 83.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 76 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.41 พันล้านบาท

ทั้งนี้ ราคาหุ้น GULF ปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 หลังจากราคาปิดที่ระดับ 69.75 บาท เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 61 ขณะเดียวกันยังปรับตัวขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2560

ด้าน บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ (8 ม.ค.) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 80 บาท/หุ้น โดยราคาหุ้น GULF ทะยานขึ้นกว่า 54% จากราคา IPO อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าราคาหุ้นยังวิ่งขึ้นต่อได้อีก เนื่องจากบริษัทมีกำลังการผลิตและภาพกำไรโดดเด่นที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ให้คำแนะนำ

ทั้งนี้คาดว่ากำไรบริษัทจะขยายตัวมากถึง 600% ระหว่างปี 2561-2568 อีกทั้งมูลค่าหุ้น ณ ปัจจุบันชี้ถึง PEG ที่ต่ำที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ติดตาม เริ่มต้นคำแนะนำซื้อ และเลือกให้เป็นบริษัทที่ชอบมากที่สุดในกลุ่มฯ โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2561 ที่ประเมินด้วยวิธี PEG ที่ 80 บาท

โดยกำลังการผลิตที่อยู่ในแผนโรงสุดท้ายจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2567 ซึ่งหมายถึงบริษัทจะรับรู้รายได้เต็มปีจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวนับจากปี 2568 เป็นต้นไป ราคาหุ้น ณ ปัจจุบันชี้ PER ปี 2568 ของบริษัทจะลดลงเหลือเพียง 8.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ให้คำแนะนำที่ 11.1 เท่าอยู่พอสมควร

นอกจากนี้ราคาหุ้นบ่งชี้ถึง PEG ระหว่างปี 2561-2565 ที่ 1.4 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มฯที่เราให้คำแนะนำที่ 1.6 เท่า ดังนั้นจึงให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2561 ที่ 80 บาท เทียบเท่าค่า PEG ปี 2561-2565 ของบริษัทในกลุ่มฯ ที่ให้คำแนะนำที่ 1.6 เท่า

นอกเหนือจากภาพกำไรที่เติบโตโดดเด่น แนวโน้มธุรกิจของบริษัทยังมีอัพไซด์ต่อประมาณการ จากต้นทุนทางการเงินของ GULF ที่อยู่ในระดับสูงในราว 5.2-5.5% เทียบกับของค่าเฉลี่ยกลุ่มฯที่ระหว่าง 4-4.5% เชื่อว่าภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ณ ปัจจุบันจะหนุนให้บริษัทขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยจ่าย (รีไฟแนนซ์) หรือออกพันธบัตรที่ต้นทุนทางการเงินต่ำลงได้

รวมทั้ง หากค่า Ft ปรับตัวสูงกว่าสันนิษฐานของเราที่คาดเติบโตเฉลี่ย 2.3% ต่อปี และโอกาสที่จะได้กำลังการผลิตใหม่เข้ามาในอนาคต

Back to top button