หุ้นเด่นเฉพาะทาง

เริ่มเข้าปีจอดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ยังคงไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกตัวทะลุมาโซนบนของช่องขนานเก่า โดยมีด่านขอบบนแถว 1,810 จุด ขณะที่ RSI อยู่โซนสูง ทำให้ขึ้นยืนเหนือแนว 1,800 จุด ได้เล็กน้อย ก่อนถดถอยลงมา โดยวางแนว 1,780 จุด เป็นจุดเข้าสะสม แต่ดัชนีลงมาแค่ 1,784 จุด แล้วเร่งตัวขึ้นชันกว่าที่คาด โดยผ่านด่านช่องขนานเก่า 1,810 จุด ทำให้วางกรอบใหม่ สะท้อนการเคลื่อนไหวมีความชันมากกว่าเดิม


เส้นทางนักลงทุน

เริ่มเข้าปีจอดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ยังคงไต่ระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกตัวทะลุมาโซนบนของช่องขนานเก่า โดยมีด่านขอบบนแถว 1,810 จุด ขณะที่ RSI อยู่โซนสูง ทำให้ขึ้นยืนเหนือแนว 1,800 จุด ได้เล็กน้อย ก่อนถดถอยลงมา โดยวางแนว 1,780 จุด เป็นจุดเข้าสะสม แต่ดัชนีลงมาแค่ 1,784 จุด แล้วเร่งตัวขึ้นชันกว่าที่คาด โดยผ่านด่านช่องขนานเก่า 1,810 จุด ทำให้วางกรอบใหม่ สะท้อนการเคลื่อนไหวมีความชันมากกว่าเดิม

กระทั่งดัชนีก็เข้าทดสอบ 1,830 จุด และเผชิญแรงขายระยะสั้น แต่ยังถดถอยไม่ถึงแนวรับหลัก โดยประคองตัวบนเส้นเฉลี่ย 5 วัน ทำให้ภาพระยะสั้นเริ่มมีโอกาสจะผ่านด่าน 1,830 จุด เพื่อปรับตัวขึ้นตามแนวโน้มในภาพหลัก

กระทั่งวานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลง หลังพยายามขึ้นไปยืนเหนือ 1,830 จุด แต่ยังไม่สามารถผ่านไปได้ ทำให้ถูกแรงเทขายทำกำไรออกมา ซึ่งตลาดฯก็ยังอยู่ในภาวะของการปรับฐาน ทำให้นักลงทุนระวังการลงทุนมากขึ้น

ประกอบกับเหล่าบรรดาหุ้นปรับตัวขึ้นจนเข้าเขต Overbought เสียเป็นส่วนใหญ่แล้ว โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลาง เหตุนี้จึงทำให้นักลงทุนยากที่จะเข้าไปลงทุนเพราะราคาหุ้นต่างแพงเกินไปแล้ว

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนยังคงคัดเลือกการลงทุนไปยังกลุ่มหุ้นที่แนะนำต่อไป ได้แก่

1) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีเงินปันผลในระดับน่าสนใจได้แก่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP (ราคาเป้าหมาย 9.80 บาท), บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH (ราคาเป้าหมาย 12.30 บาท), บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH (ราคาเป้าหมาย 3.68 บาท), บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI (ราคาเป้าหมาย 2.38 บาท)

2) กลุ่มสื่อสารที่ได้ประโยชน์จากการลดข้อจำกัดต่างๆ ของภาครัฐ ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC (ราคาเป้าหมาย 214 บาท), บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE (ราคาเป้าหมาย 7.28 บาท)

3) หุ้นพื้นฐานดีที่ปีที่แล้วเป็นหนึ่งใน The most laggards จึงมี Downside ที่จำกัด ได้แก่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK (ราคาเป้าหมาย 34บาท), บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU (ราคาเป้าหมาย 25 บาท)

4) หุ้นกลุ่ม Small cap ที่ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ได้แก่ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT (ราคาเป้าหมาย 39 บาท), บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM (ราคาเป้าหมาย 12.40 บาท)

5) หุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า, ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง และ Seasonal effect ของค่าการกลั่น ได้แก่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP (ราคาเป้าหมาย 61 บาท), บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC (ราคาเป้าหมาย 7.60 บาท), บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC (ราคาเป้าหมาย 19.40 บาท)

6) กลุ่มค้าปลีกที่อาจได้อานิสงส์ในระยะสั้นจากประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีลูกค้าฐานรากเป็นสำคัญ ได้แก่ บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) หรือ ROBINS (ราคาเป้าหมาย 88 บาท), บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER (ราคาเป้าหมาย 16 บาท)

รวมถึง บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ยังไม่มีออกบทวิเคราะห์เลยไม่มีราคาเป้าหมาย ขณะที่บริษัทประกอบธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่รวมอาหารสดภายใต้ชื่อ “ธนพิริยะ” ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งสิ้น 12 สาขา แบ่งออกเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต 11 สาขา และศูนย์ค้าส่ง 1 สาขา ซึ่งทุกสาขามีที่ตั้งในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นบริษัทที่น่าสนใจที่มีโอกาสได้รับประโยชน์

นี่เป็นเพียงสมมติฐานว่าหุ้นเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากปัจจัยเฉพาะทาง อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่น่าลงทุนเนื่องจากยังมีอัพไซด์ให้เล่นเมื่อเทียบกับราคาปัจจุบันกับราคาเป้าหมาย

Back to top button