เปิดโผราคาหุ้น SET50 เดือนมกราคม EA สุดพีค! ซิวแชมป์รีเทิร์นสูง 29%

เปิดโผราคาหุ้น SET50 เดือนมกราคม EA สุดพีค! ซิวแชมป์รีเทิร์นสูง 29%


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในกลุ่ม SET50 ในรอบ 1 เดือนปี 2561ผ่านมา โดยเทียบราคาปิด ณ วันที่ 29 ธ.ค.60-31 ม.ค.61 ซึ่งพบว่าหุ้นส่วนใหญ่ราคาปรับตัวขึ้นมากกว่าลงโดยหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีทั้งหมด 35 ตัว และมีหุ้นปรับตัวลดลงเพียง 13 ตัว และราคาไม่เปลี่ยนแปลง 2 ตัว

ทั้งนี้ตลอดช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ปรับตัวขึ้น 4.17% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1,753.71จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 1,826.86 จุด ( 31ม.ค.61) บวกไป 73.15 จุด ส่วนดัชนี SET50 ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 4.49% จากดัชนีที่ยืนอยู่ที่ระดับ 1.135.14 จุด (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ 1,135.14 จุด ( 31ม.ค.61) บวกไป 51.02 จุด

โดยแรงซื้อที่เข้ามาหนุนให้ดัชนีปรับตัวขึ้นและหุ้นที่มีแนวโน้มของ Earnings ปี 2561 ที่ดีมากต่อเนื่อง รวมทั้งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันที่มีการประเมินมูลค่าไม่แพง นอกจากนี้ยังแนะนำหุ้นที่คาดว่างบไตรมาส 4/60 จะออกมาดีและแนวโน้มกำไรปี 61 เติบโตโดดเด่น

สำหรับหุ้น SET50 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 35 ตัว ประกอบด้วย  EA,PTTEP,BANPU,GPSC,PTTGC,PTT,HMPRO,LH,MTLS, TRUE,BEAUTY,WHA,IVL,SCB,TCAP,IRPC,KTB,TU,BPP,BH,CPALL, BDMS,KKP,PSH,AOT,BBL,BCP,INTUCH,CBG,SCC,EGCO,ADVANC,BEM,MINT และ DTAC  ซึ่งหุ้นดังกล่าวล้วนแต่ปรับตัวให้ผลตอบแทนชนะตลาดฯ

โดยหุ้นที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นเดือนมกราคม 2561 คือ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นกว่า 29.05% โดยราคาหุ้นปรับตัวจากระดับ 52.50 บาท (29 ธ.ค.60) มาอยู่ที่ระดับ 67.75 บาท (31ม.ค.61) เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจแผนธุรกิจและผลกำไรที่คาดว่าจะออกมาดีจึงทำให้ราคาหุ้นปรับตัวทุบสถิตินิวไฮต่อเนื่องในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ ให้ราคาเป้าหมาย EA ปี 61 ที่ 110 บาทต่อหุ้น อิง WACC ที่ 7% และราคาเป้าหมายปี 63 ที่ 130 บาทต่อหุ้น โดยปรับสมมติฐานเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานเป็น 30 GWh ในช่วงปี 2562-2566 จากเดิม 10 GWh ( 60% ของแผน ES ของบริษัทที่ 50 GWh)

โดยมองว่า EA เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงที่สุดของไทย และคาดว่ากำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 3.2 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า และ 8.6 เท่าใน 10 ปี (จากปี 60) ด้วยธุรกิจ ES Power Solution จะสร้างกระแสเงินสดให้อย่างสม่ำเสมอและมีเสถียรภาพ

รวมทั้งคาดว่า EA จะสร้างอาณาจักร ภายใต้แนวคิด “Smart Cities” บนพื้นที่ราว 3,000 ไร่ ในจ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งจะมีโรงงาน ES ใหญ่ระดับโลกมีกำลังผลิต 30 GWh โรงานไบโอดีเซลใหม่ขนาด 1 ล้านตัน (มีแผนอัพเกรดเป็นกรีนดีเซล และ PCM) และมี Supply Chain เกิดขึ้นในพื้นที่ด้วยกลยุทธ์ที่จะใช้ 70-80% ของ ES มาใช้สร้างมูลค่าเพิ่มในรูบแบบการขายเป็นแพ็คเกจครบวงจร (ESS) ขายในตลาดอาเซียน

ดังนั้น จึงคาดว่า EA จะมีกำไรเพิ่มมากขึ้นในช่วง 10 ปีข้างหน้า จากสมมติฐานว่า EA จะมีกำลังการผลิตพลังงานทดแทนใหม่ในมืออีก 0.03-6.3GW ในช่วง 2562-2570 (ปัจจุบันมี 0.66 GW) และคาดว่า EA จะเป็นเจ้าของสถานีชาร์จไฟฟ้าทั่วประเทศ และอาจเป็นผู้จัดจำหน่าย ES ให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ EV

ทั้งนี้จากสมมติฐานกำลังการผลิตใหม่ของ EA ดังกล่าวที่ 0.03-6.3GW ในปี 2562-2570 ไม่ได้สูงเกินไป เพราะคิดเป็นเพียงประมาณ 1-6% ของความต้องการใช้พลังงานทดแทนทั้งหมดของอาเซียนอิงของมูลจากองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) และสมมติฐานให้ EA ขายผลผลิตที่เหลือ 20-30% ให้ตลาด EV หรือใช้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแระมาณ 6,000-96,000 คัดต่อปี ในปี 2560-2570 ก็มองว่าไม่ได้สูงเกินไป เนื่องจากคาดการณ์ตลาด EV ทั่วโลกจะมีขนาด 1.14 ล้านหน่วยต่อปี นอกจากนี้รัฐบาลไทยยังตั้งเป้ายอดขาย EV ในประเทศที่ 1.2 ล้านคันในปี 2579

สำหรับความเสี่ยง คือ ความล่าช้าของโครงการและด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน แต่เชื่อว่าต้าน Upside มีมากกว่า ขณะที่ความเสี่ยงจากความล่าช้าเป็นเรื่องปกติ ในขณะที่ Amita (ถือหุ้น 50%) ก็มีประสบการณ์ส่งมอบโรงงาน ES ให้แก่รัฐบาลปักกิ่งเรียบร้อย จึงไม่คิดว่าการเพิ่มทุนในอนาคตเป็นความเสี่ยง แต่กลับเป็นหนทางในการเติบโต อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะไม่มีการเพิ่มทุนเพื่อลงทุนในโรงงาน ES แต่อาจมีการเพิ่มทุนเพื่อนำมาลงทุนในโครงการ ESS หลังปี 65

ด้านหุ้นที่ปรับตัวลดลงมีทั้งหมด 13 ตัว อาทิ KBANK,TOP,TPIPP,CPF,ROBINS,SPRC,CPN,BTS,SAWAD,TMB,KCE, CENTEL และ BJC  อย่างไรก็ตามหุ้นที่ปรับตัวลดลงหากมองอีกด้านหนึ่ง ถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้เก็บหุ้นพื้นฐานแกร่งราคาถูก เพราะอย่าลืมว่าหุ้นดังกล่าวยังทำกำไรได้ดี และเป็นที่สนใจสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button