เทรดสนั่น! มูลค่าซื้อขาย SET ทะลุ 1.1 แสนลบ. หนาแน่นสุดในรอบกว่า 1 ปี

เทรดสนั่น! มูลค่าซื้อขาย SET ทะลุ 1.1 แสนลบ. หนาแน่นสุดในรอบกว่า 1 ปี โดย ณ เวลา 16.17 น. อยู่ที่ 1,790.56 จุด ลบ 19.76 จุด หรือ 1.09% สูงสุดที่ 1,792.17 จุด ต่ำสุดที่ 1,758.31 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1.13 แสนล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ เวลา 16.17 น. อยู่ที่ 1,790.56 จุด ลบ 19.76 จุด หรือ 1.09% สูงสุดที่ 1,792.17 จุด ต่ำสุดที่ 1,758.31 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1.13 แสนล้านบาท ทั้งนี้มูลค่าการซื้อขายต่อวันปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปี 3 เดือน นับตั้งแต่มูลค่าการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ระดับ 1.3 แสนล้านบาท เมื่อวันที่ 12 ต.ค.59

ทั้งนี้ นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนิตี้ เปิดเผยว่า การปรับฐานตลาดหุ้นรอบนี้คาดว่าปรับตัวลงแรง เร็ว และจบเร็วโดยอาจใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนในการปรับฐาน และจากนั้นมีโอกาสการปรับตัวขึ้นต่อ ทั้งนี้ จากสถิติในปี 1990 ตลาด Bull Market หรือตลาดที่ที่ปรับขึ้นมาต่อเนื่อง 40% มักจะมีการปรับฐานราว 10% และใช้เวลา 1-2 เดือนในการปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสทยอยเข้าลงทุน

โดยขณะนี้ Real Bond Yield อยู่ที่ประมาณ 0.6-0.8% ซึ่งต่ำมาก ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินค่อนข้างต่ำ โดยตัว Real Bond Yield จะเป็นตัวกำหนดทิศทางหุ้นโลก ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงหรือหุ้นจะให้ผลตอบแทนดีกว่า โดยยังคาดเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้อยู่ที่ 1,900 จุด P/E 16.5 เท่า คาดกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 121 บาท

“การปรับฐานรอบนี้เป็น Correction ใน Bull Market ปรับแรงเร็วและจบเร็ว อาจใช้เวลา 1-2 เดือนในการปรับฐาน จากนั้นมีโอกาสปรับขึ้นต่อ เพราะ EPS ปรับตัวเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจโลกก็ยังดี”นายวิศิษฐ์ กล่าวในงานสัมมนา”ส่องเศรษฐกิจ พิชิตการลงทุน ปี 61″นายวิศิษฐ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงตลาดมาจากความกังวลสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี โดยเฉพาะกระแสข่าวว่าเกาหลีเหนือมีขีปนาวุธที่สามารถยิงไปถึงสหรัฐได้ โดยจะเห็นได้ว่าสหรัฐตั้งฐานทัพที่เกาะกวม เรื่องนี้อาจจะป้องกันความเสี่ยงด้วยการลงทุนทองคำสัดส่วน 5% และความเสี่ยงจาก Trump Policy หรือนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจส่งผลกระทบมายังภูมิภาคเอเชีย

ด้าน นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา (2 ก.พ.) เนื่องจาก ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐออกมาดี และมีการปรับอัตราค่าจ้างแรงงานใน 18 รัฐ ทำให้เกิดความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและถี่ขึ้น เพราะมีแนวโน้มเงินเฟ้อสูงขึ้น

ทั้งนี้ ธปท.จับตาดูอัตราค่าจ้างแรงงานของสหรัฐในช่วง 1-2 เดือนก่อนว่าจะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอย่างไร ส่วนของไทย อัตราเงินเฟ้อยังค่อยฟื้นตัวขึ้นไป ขณะที่ค่าเงินบาทขณะนี้อ่อนตัวลงแล้วจากก่อนหน้าแข็งค่าขึ้นมากเพราะเงินดอลลาร์อ่อนค่า

“โดยรวมสิ่งที่เกิดความผันผวน กระทบตลาดทุน แต่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจเรายังแช็งแรง ธปท.มีมุมมองไปทางทีดีต่อเศรษฐกิจไทย” นายดอนกล่าว

ทั้งนี้ มุมมองของ ธปท.ยังคาดว่าเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และปีหน้าปรับขึ้นอีก 2 ครั้ง แต่สถานการณ์ขณะนี้เฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปค่อยๆ ฟื้นตัว แต่คงไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว ส่วนญี่ปุ่น เศรษฐกิจค่อยๆดีขึ้นและคงไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยเร็วเช่นกัน ทั้งนี้ ปัจจัยเหล่านี้ ธปท.จะต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

Back to top button