เน้นซื้อแนวรับ

ภายใต้ภาวะตลาดหุ้นไทยที่คงต้องเผชิญกับความผันผวนระยะสั้น โดยคาด Fund Flow ที่มีแนวโน้มไหลออกจะกดดันให้เกิดแรงขายหุ้น Big Cap. โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี  ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ "เน้นซื้อแนวรับ ไม่ไล่ราคา"  เพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงไม่นิ่งและมีโอกาสปรับฐานได้อีก  เพราะยัง...“ไม่เสด็จน้ำ” …หากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน


เส้นทางนักลงทุน

ภายใต้ภาวะตลาดหุ้นไทยที่คงต้องเผชิญกับความผันผวนระยะสั้น โดยคาด Fund Flow ที่มีแนวโน้มไหลออกจะกดดันให้เกิดแรงขายหุ้น Big Cap. โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี  ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “เน้นซื้อแนวรับ ไม่ไล่ราคา” เพราะดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงไม่นิ่งและมีโอกาสปรับฐานได้อีก  เพราะยัง…“ไม่เสด็จน้ำ” …หากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน

ดังนั้น หุ้นยังมีโอกาสเจอแรงเทขายออกมาต่อได้ อย่างบางกลุ่ม บางตัว แต่อย่างไรก็ดีการปรับตัวลงลึกของราคาหุ้นอาจมีผลบวกแก่นักลงทุนที่รอจังหวะเข้าเก็บหุ้นราคาต่ำ (ช้อนซื้อของถูก) นั่นเอง

ตรงกับกลยุทธ์ของการเข้าซื้อแนวรับ…แต่ต้องเลือกหุ้นที่มีปัจจัยหนุนอยู่ด้วย เพราะจะทำให้ราคาหุ้นเด้งกลับเร็วตามภาวะของดัชนีตลาดหุ้นเมื่อเด้งกลับ..และที่สำคัญราคาหุ้นจะไม่ค่อยลงลึกเท่าไรนัก

สำหรับกลยุทธ์เลือกซื้อแนวรับ ไม่ไล่ราคา ด้วยการเลือกหุ้นที่มีประเด็นข่าวสารสนับสนุน แยกออกเป็นประเภทๆ ดังนี้

1) หุ้นได้อานิสงส์จากค่าเงินบาทอ่อนตัว (ดอลลาร์แข็งค่า) ได้แก่ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI มีราคาเป้าหมาย 4.70 บาท, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA มีราคาเป้าหมาย 50 บาท, บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE มีราคาเป้าหมาย 78 บาท,

บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA มีราคาเป้าหมาย 86 บาท, บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF มีราคาเป้าหมาย 30 บาท,  บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT มีราคาเป้าหมาย 15 บาท, บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU มีราคาเป้าหมาย 26 บาท และบริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC มีราคาเป้าหมาย 15.60 บาท

2) หุ้น Domestic Play ที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้น ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มีราคาเป้าหมาย 262 บาท, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL มีราคาป้าหมาย 244 บาท, บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) หรือ ROBINS มีราคาเป้าหมาย 86 บาท และ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC มีราคาเป้าหมาย 62 บาท

3) หุ้นที่ให้คาดเป็นหลุมหลบภัย (Safe heaven) โดยให้ Div.Yield เกิน 4% ได้แก่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC มีราคาเป้าหมาย 5 บาท, บริษัท เอ็ม.ซี.เอส.สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MCS มีราคาเป้าหมาย 16.80 บาท, ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP มีราคาเป้าหมาย 88 บาท, บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO มีราคาเป้าหมาย 105 บาท

บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW มีราคาเป้าหมาย 91.50 บาท, บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ราคาเป้าหมาย 246 บาท และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH มีราคาเป้าหมาย 62 บาท

4) หุ้น Mid-Small Cap.ที่คาดกำไรไตรมาส 4 ปี 2560 โตดีจากงวดเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW มีราคาเป้าหมาย 9.30 บาท, บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH มีราคาเป้าหมาย 18.30 บาท, บริษัท หาญ เอ็นจิเนียริ่ง โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ HARN มีราคาเป้าหมาย 4.70 บาท และบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD มีราคาเป้าหมาย 14.10 บาท

สำหรับการลงทุนในช่วงภาวะตลาดผันผวน หุ้นที่นำเสนออาจเป็นหุ้นปลอดภัย หาจังหวะเข้าซื้อแถวแนวรับเพื่อรอวันเด้งกลับ!!

Back to top button