พาราสาวะถี

เป็นไปตามคาด หลัง นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แถลงข่าว ขอโทษ นายกรัฐมนตรีที่เสียมารยาทในการไปพูดกับนักเรียนไทยและนักธุรกิจไทย ที่มาร่วมงานเลี้ยงรับรองที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน พาดพิงถึง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ปมนาฬิกาหรู พร้อมขอโทษบิ๊กป้อม และยืนยันจะไม่ลาออก โดยระบุว่ายังคงมั่นใจในตัวท่านผู้นำ และย้ำว่าจะไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกันของคณะรัฐบาลคสช.แน่นอน


อรชุน

เป็นไปตามคาด หลัง นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แถลงข่าว ขอโทษ นายกรัฐมนตรีที่เสียมารยาทในการไปพูดกับนักเรียนไทยและนักธุรกิจไทย ที่มาร่วมงานเลี้ยงรับรองที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน พาดพิงถึง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ปมนาฬิกาหรู พร้อมขอโทษบิ๊กป้อม และยืนยันจะไม่ลาออก โดยระบุว่ายังคงมั่นใจในตัวท่านผู้นำ และย้ำว่าจะไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกันของคณะรัฐบาลคสช.แน่นอน

หากย้อนกลับไปดูสิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแถลง คนจะคิดกันไหมว่าเป็นเพียงแค่กลอนพาไป เพราะการที่บอก ขอให้ตระหนักว่าเมื่อจบการศึกษากลับไปทำงานที่ประเทศไทยแล้ว การบังคับใช้กฎหมายของไทยและสำนึกของนักการเมืองและผู้บริหารประเทศยังต่างจากของอังกฤษ การยึดหลักนิติธรรม หรือ rule of law ยังไม่เกิดขึ้นจริง

ก่อนที่จะยกตัวอย่างเปรียบเทียบกรณี ไมเคิล เบทส์ สมาชิกสภาขุนนางของอังกฤษสังกัดพรรคอนุรักษนิยม ได้ประกาศลาออกจากสมาชิกสภาขุนนาง เนื่องจากรู้สึกละอายใจที่เข้าร่วมประชุมสภาสายเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่คำลาออกของเขาถูก เทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรียับยั้ง เมื่อเทียบกับเมืองไทยมีนาฬิกาใส่ 25 เรือน ยังไม่เป็นไร นี่เป็นดอกแรก

ยังมีดอกที่สองตามมาด้วยการให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยด้วยว่า ไม่มีทางที่จะเห็นนักการเมืองไทยลาออกเพราะมาสาย เพราะเป็นเรื่องความรู้สึกผิดชอบชั่วดี แม้ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดจริยธรรม เมื่อไม่ได้ฝึกมาแต่เด็กให้หน้าบาง ยาก เมืองไทยไม่มีทาง “เรื่องนาฬิกา ถ้าผมถูกเปิดโปงเรือนแรกก็ออกแล้ว อันนี้ถามผมนะ ส่วนใครจะว่ายังไงให้ไปถามทางโน้น ของอย่างนี้คนไม่กล้าพูด กลัวอะไร ทำไมพูดแล้วมันจะมาไล่ออกเหรอ”

จะด้วยความที่กลัวว่าเป็นอาการกลอนพาไปหรืออย่างไรไม่ทราบ นักข่าวบีบีซีไทยได้ถามย้ำกับนายแพทย์ธีระเกียรติอีกรอบว่า ตัวท่านรัฐมนตรีก็อยู่ในคณะรัฐมนตรีคสช. ทำไมจึงกล้าพูดเช่นนี้ เจ้าตัวก็ย้ำอย่างหนักแน่นว่า “ไม่เกี่ยว เป็นความเห็นผม ไม่ใช่ความเห็นครม. ถ้าผมอยู่ที่ไหนต้องคิดตามเขาหมดเหรอ ลูกผมยังคิดไม่เหมือนผมเลย การคิดเหมือนกันมันคือหลักเผ่ากู ซึ่งมันโตกว่าหลักกูนิดเดียว”

แม้ว่าหลายคนอาจจะรู้สึกผิดหวังต่อถ้อยแถลงของนายแพทย์ธีระเกียรติหลังการเข้าพบกับท่านผู้นำ แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นี่อาจจะเป็นตัวแทนของพวกเดียวกันหรือฝ่ายเชียร์คสช. ที่ต้องการจะบอกส่งสัญญาณไปยังผู้มีอำนาจว่าถึงเวลาที่จะต้องจัดการคนที่เป็น “จุดอ่อน” หรือตัวสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลได้แล้ว

ต้องไม่ลืมว่า กรณีนี้ไม่ใช่หนแรก เพราะก่อนหน้านั้นก็มีบรรดาฝ่ายสนับสนุนคสช. เรียกร้องให้พลเอกประวิตรแสดงสปิริตเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของพลเอกประยุทธ์และรัฐบาลคสช.ไว้ แต่ทุกอย่างก็ปล่อยให้ผ่านมาจนถึงวันนี้ มิหนำซ้ำ ท่านผู้นำยังยืนยันหนักแน่นถึงสายสัมพันธ์อันดีระหว่างตัวเองกับพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงเหว พี่น้องคู่นี้จะต้องกระเตงกันไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้าง

ต้องยอมรับความจริงเหมือนที่เคยย้ำมาโดยตลอดว่า ความแน่นแฟ้นของบิ๊กป้อมบิ๊กตู่และ “บิ๊กป๊อก” พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา นั้น เป็นเรื่องที่คนวงนอกยากที่จะเข้าใจ พระคุณที่มีต่อกันมันเหนือคำบรรยาย เมื่อได้รับโอกาสจนก้าวสู่จุดสูงสุดของกองทัพแล้ว ในยามที่คนหนึ่งคนใดมีอำนาจอันยิ่งใหญ่แล้ว จะเพิกเฉยหรือปล่อยให้คนที่เหลือตกระกำลำบากได้อย่างไร

การเรียก “หมอธี” เข้าพบก็เพื่อที่จะให้ทุกอย่างจบแบบไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่นั่นเป็นเพียงแค่การสยบแรงกระเพื่อมที่จะเกิดขึ้นภายในรัฐบาลคสช. แต่กระแสภายนอกย่อมไม่จบ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดข่าวคราวเจ้าหน้าที่ตามแกะรอยและจับกุม สิบตรีสุกิจ พูลศิลป์ อดีตทหารและลูกน้อง “โกตี๋” วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ เสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ พร้อมระเบิดเอ็ม 26 ไปป์บอมบ์และระเบิดปิงปอง

เบื้องต้นแม้ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังไม่ฟันธงว่าสิ่งที่พบและคนที่ถูกจับกุมได้เตรียมเอามาก่อเหตุหรือเป็นระเบิดค้างเก่า คำถามที่คนทั่วไปอดสงสัยไม่ได้คือ ทำไมเพิ่งรู้และมาจับกุมกันเอาในช่วงนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงช่วยไม่ได้ที่คนจะมองว่าหนึ่งคือเพื่อขู่ม็อบอยากเลือกตั้งที่กำลังเย้วๆ กันอยู่เวลานี้หรือเปล่า อีกประการหนีไม่พ้นเกิดข่าวร้ายเพื่อเบี่ยงกระแสอะไรหรือไม่

ถ้าจำกันได้ช่วงปลายปีที่แล้ว จังหวะที่นักการเมืองและพรรคการเมืองเรียกร้องให้ปลดล็อกทำกิจกรรมหลังกฎหมายพรรคการเมืองมีผลบังคับใช้ จนกลายเป็นกระแสกดดันรัฐบาล จู่ๆ ก็มีข่าวเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบอาวุธสงครามและระเบิดจำนวนมากที่อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา มีทั้งระเบิดขว้างอาร์จีดี 5 จำนวน 30 ลูก ไปป์บอมบ์ 7 ลูก แท่งดินระเบิด ระเบิดทีเอ็นที ลูกระเบิดยิงขนาด 40 มม. จำนวน 2 ลูก กระสุนปืนและปืนอาก้า 2 กระบอก

ช่วงนั้นพลเอกประวิตรฉวยเอาเรื่องนี้มาเป็นสาเหตุ ที่จะไม่ปลดล็อกการเมืองจนกว่าจะใกล้เลือกตั้ง จากวันนั้นจนถึงวันนี้ถามว่า ที่เคยให้ข่าวกันใหญ่โตและบอกว่าจะขยายผลจับกุมกันให้สิ้นซาก ปรากฏว่าข่าวก็เงียบหายไปนานจนมาปรากฏอีกครั้งหนนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่ทำงานกันแบบนี้ จึงหนีไม่พ้นกับข้อครหาพยายามจะปั่นกระแสเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องหนึ่งเรื่องใดอันเป็นข่าวร้ายข่าวลบที่กระแทกเข้าใส่ผู้มีอำนาจ

สิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงไม่เคยตอบข้อสงสัยของสังคมได้ก็คือ การตรวจพบอาวุธในพื้นที่ใกล้กรุงเทพฯทุกครั้งทำไมจึงเกิดขึ้นในจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทางการเมือง ทำไมทั้งๆ ที่มีการใช้กฎหมายและอำนาจที่เด็ดขาด จึงปล่อยให้อาวุธร้ายแรงเหล่านี้ผ่านกระบวนการตรวจสอบตรวจค้นอันเข้มข้นของฝ่ายความมั่นคงมาได้ หากเป็นช่วงยึดอำนาจใหม่ๆ คำถามเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น แต่นี่เวลาผ่านมาเกือบ 4 ปีแล้วและยังมีเรื่องราวแบบนี้อยู่อีก คนย่อมอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเกือบ 4 ปีที่ผ่านมานั้น ท่านทำอะไรและกำลังจะทำอะไรกันอีกหรือ

Back to top button