ปรับฐาน-เล่นสั้น

วานนี้ (14 ก.พ.) ตลาดหุ้นไทย ดัชนีปิดตลาดลบตามคาด (-7.94 จุด มาที่ 1,792.09 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 49,557 ล้านบาท ถือเป็นตัวเลขการเทรดที่ต่ำสุดนับจากต้นปีนี้เป็นต้นมา ที่ตัวเลขซื้อขายจะมากกว่า 7 หมื่นล้านบาทเป็นส่วนใหญ่


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

วานนี้ (14 ก.พ.) ตลาดหุ้นไทย ดัชนีปิดตลาดลบตามคาด (-7.94 จุด มาที่ 1,792.09 จุด)

มูลค่าการซื้อขาย 49,557 ล้านบาท ถือเป็นตัวเลขการเทรดที่ต่ำสุดนับจากต้นปีนี้เป็นต้นมา ที่ตัวเลขซื้อขายจะมากกว่า 7 หมื่นล้านบาทเป็นส่วนใหญ่

แต่ก็อย่างว่าล่ะ นี่คือสถานการณ์ที่เหมือนจะรับรู้ล่วงหน้าไปแล้ว

นอกจากจะเป็นเทศกาลตรุษจีนที่วอลุ่มจะหายไปเป็นปกติแล้ว

ก็ยังมีปัจจัยเรื่องการ “ปรับฐาน” ของตลาดหุ้น

นักลงทุนต่างชาติไม่ได้ทยอยขนเงินออกจากตลาดหุ้นไทยเพียงแห่งเดียว

ทว่ายังรวมถึงตลาดหุ้นเอเชียด้วย

นับจากต้นปี 2561 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยแล้ว 38,728 ล้านบาท ถือว่าหนักพอสมควร

และเป็นการขายต่อเนื่องจาปี 2560 ที่ขายสุทธิ 25,755.41 ล้านบาท

เข้าใจว่าสัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในขณะนี้อาจจะเหลือไม่ถึง 30% แล้วล่ะ

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์หลายคนเคยบอกแล้วว่า มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะร่วงลงมาแรง จากการปรับฐานลงมา และให้นักลงทุนระมัดระวัง

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

ล่าสุด ความเห็นของนักวิเคราะห์มีมุมมองน่าสนใจ

นั่นคือรอบของการปรับฐานจะใช้เวลาเท่าไหร่กันนะ

บล.ซีไอเอ็มบี มีการยกตัวอย่างตลาดหุ้นสหรัฐว่า ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ (ตอนนี้) ดีดตัวขึ้นกลับ และอาจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

แต่หากมาดูมุมมองของทั้งนักวิเคราะห์ นักลงทุนและนักกลยุทธ์

ทั้งหมดต่างจะมองสอดคล้องกันว่า เร็วเกินไปที่ดัชนีตลาดหุ้นจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

พร้อมทั้งยกสถิติที่มองไปถึง 90 ปี ที่มองว่าดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐจะใช้เวลาในการหาจุดต่ำสุดเฉลี่ยประมาณ 64 วัน

รอบการปรับฐานแล้วฟื้นตัวที่กินเวลาน้อยที่สุด ยังใช้เวลา 38 วัน ในรอบ 70 ปี และหากรอบนี้ฟื้นจริงๆ ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ฟื้นเร็วที่สุด

แล้วตลาดหุ้นไทยล่ะ

มีการดีดลูกคิดด้วยการมองจากอดีตเป็นกรณีศึกษา พบว่า รอบของการปรับฐานปกติ ดัชนีจะปรับลดลง 3-5%

แต่ตอนนี้ดัชนีเพิ่งจะปรับลงมาเพียง 2.5% หากนับจากดัชนีขึ้นไปปิดสูงสุดของปีนี้ (1,838 จุด)

ทำให้เกิดการมองว่า มีโอกาสที่ดัชนีจะปรับลงได้อีก

พร้อมกับให้ระวังหุ้นขนาดใหญ่ที่อาจถูกขายออกมา

นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ให้แนวรับสำคัญไว้ที่ระดับ 1,760 จุด และมองเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อหุ้นที่เกิดสัญญาณบวกหรือแข็งแกร่งมากกว่าตลาด

ส่วนรอบของการปรับฐานอาจกินเวลา 2-8 สัปดาห์

ซึ่งขณะนี้ถือว่าผ่านมาแล้วราวๆ 2 สัปดาห์

ในช่วงรอบของการปรับฐาน ดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ อย่างที่นักลงทุนสัมผัสกันอยู่ตอนนี้นั่นแหละ

มีมุมมองของนักวิเคราะห์ บล.เอเชีย เวลท์

เขามองว่า Price Pattern ของ SET Index ยังต้องแกว่งตัวอย่างผันผวนต่อไปตราบเท่าที่ยังมีการเปิด Rising Gap อยู่ที่ 1,753.73 จุด และมีการเปิด Falling Gap อยู่ที่ 1,822.72 จุด

การปิด Gap ใดก่อนจะทำให้เรารู้ถึงทิศทางของ SET Index ในระยะต่อไปครับ

หาก Price Pattern ของ SET Index ปิด Rising Gap ที่ 1,753.73 จุดก่อน

ก็จะเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนในการเข้าซื้อเพื่อลงทุนหรือเล่นเก็งกำไรระยะสั้นได้อีกครั้ง

คาดหวังว่า Price Pattern ของ SET Index จะเกิดการ Rebound ในระยะต่อไปเพื่อไปปิด Falling Gap ที่เปิดไว้ที่ 1,822.72 จุดเป็นอย่างน้อย

แต่หาก Price Pattern ของ SET Index ปิด Falling Gap ที่ 1,822.72 จุดก่อน

นักลงทุนควรเริ่มพิจารณาขายลดพอร์ต

และคาดหวังว่า Price Pattern ของ SET Index จะเกิดการ “ปรับฐานระยะสั้น” อีกครั้งเพื่อไปปิด Rising Gap ที่เปิดไว้ที่ 1,753.73 จุดเป็นอย่างน้อย

คำแนะนำส่วนใหญ่ให้หันมาเล่นหุ้นขนาดกลาง-เล็ก

ลงให้ซื้อ ขึ้นให้ขาย หรือเล่นสั้นเก็งกำไรกันไป

มีคำถามว่า แล้วหากหุ้นลงแล้วเข้าซื้อ แต่หุ้นยังลงต่ออีก ทำอย่างไรดี

คำตอบคือ ก็ตัวใครตัวมันล่ะ

Back to top button