พึงพอใจแต่ไม่เห็นอนาคตทายท้าวิชามาร

1 ปี คสช.ประชาชนพึงพอใจอะไรบ้าง ดุสิตโพลสะท้อนว่าอันดับหนึ่งคือ จัดการปัญหาความขัดแย้งทำให้บ้านเมืองสงบสุข สอง ทำงานรวดเร็วเด็ดขาดจริงจัง สาม ดำเนินการกับผู้ทุจริตคอร์รัปชั่นผิดกฎหมาย สี่ จัดระเบียบสังคม ปราบมาเฟียผู้มีอิทธิพล ห้า ชดเชยเงินจำนำข้าว ช่วยเหลือเกษตรกร


1 ปี คสช.ประชาชนพึงพอใจอะไรบ้าง ดุสิตโพลสะท้อนว่าอันดับหนึ่งคือ จัดการปัญหาความขัดแย้งทำให้บ้านเมืองสงบสุข สอง ทำงานรวดเร็วเด็ดขาดจริงจัง สาม ดำเนินการกับผู้ทุจริตคอร์รัปชั่นผิดกฎหมาย สี่ จัดระเบียบสังคม ปราบมาเฟียผู้มีอิทธิพล ห้า ชดเชยเงินจำนำข้าว ช่วยเหลือเกษตรกร

ส่วนที่ประชาชนผิดหวังมากที่สุดคือ หนึ่ง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สินค้าแพง ค่าครองชีพสูง สอง นโยบายด้านการเกษตร ราคาข้าว ราคายาง สาม เหตุการณ์ไม่สงบในพื้นที่ชายแดนใต้ สี่ ความเชื่อมั่นในสายตาต่างประเทศ ห้า ความคืบหน้าของคดีสำคัญ เช่น ระเบิดพารากอน เกาะเต่า

เห็นด้วยทั้งหมดเลยนะครับ แต่สังเกตไหมว่า สิ่งที่ประชาชนพึงพอใจมาจากการใช้กำลังใช้อำนาจพิเศษ เช่น ใช้กฎอัยการศึก ใช้มาตรา 44 ทำให้เกิดความ “สงบสุข” ด้วยการปิดกั้นความคิดเห็น ห้ามเคลื่อนไหวห้ามแสดงออก ซึ่งไม่ใช่แก้ขัดแย้งได้จริง เพียงแต่กดไว้ เผลอๆ จะเกิดความขัดแย้งใหม่ที่รุนแรงกว่าเมื่อพ้นสถานการณ์ช่วงนี้ไป

สิ่งที่ประชาชนพึงพอใจ ไม่ว่าการทำงานรวดเร็วเด็ดขาด จัดระเบียบสังคม ปราบคนผิด ฯลฯ ล้วนมาจากการใช้อำนาจรัฐประหาร พูดอีกอย่างว่า เป็นผลงาน คสช. ไม่ใช่ผลงานรัฐบาล รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บริหารราชการตามระบบไม่สามารถแก้ปัญหาหลายเรื่อง จนต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ใช้มาตรา 44 แก้ปัญหาการบินพลเรือน แก้ปัญหาประมง ค้ามนุษย์ ลอตเตอรี่แพง ฯลฯ

พูดง่ายๆ ว่าอะไรที่ใช้อำนาจใช้คำสั่ง คสช.ทำให้รวดเร็วทันใจ แต่อะไรที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่มันซับซ้อน ต้องใช้กลไกใช้ปัญญาความคิด เช่น เศรษฐกิจ การเกษตร หรือชายแดนใต้ ประชาชนผิดหวัง

การแก้ปัญหาด้วยอำนาจสร้างความพึงพอใจเฉพาะหน้าก็จริง แต่ไม่มีหลักประกันถึงอนาคต เช่น การปราบมาเฟีย อิทธิพล คนผิดกฎหมาย ไม่มีหลักประกันอะไรว่าเมื่อรัฐบาลทหารผู้ซื่อสัตย์สุจริตไม่หาเศษหาเลยแม้แต่นิด พ้นจากอำนาจแล้ว เรื่องเลวร้ายเหล่านี้จะไม่กลับมาใหม่ เช่น ผมมั่นใจลอตเตอรี่งวดหน้าขาย 80 บาท เพราะไม่มีใครกล้าหือกับทหาร แต่มีใครมั่นใจว่า 1-2 ปีข้างหน้าจะยัง 80 บาทอยู่

การทำให้บ้านเมือง “สงบสุข” อย่างเช่นการจับกุมนักศึกษาหน้าหอศิลป์ ในวันครบ 1 ปีรัฐประหาร ยังเป็นข่าวแพร่ไปทั่วโลกส่งผลต่อ “ความเชื่อมั่นในสายตาต่างประเทศ” ฉะนั้น ด้านที่บอกว่าประชาชนพึงพอใจ ก็ย้อนแย้งกับด้านที่ผิดหวัง

ถามว่า 1 ปี คสช.คืนความสุขจริงไหม ก็จริงสำหรับคนชั้นกลางในเมือง คนระดับบนที่ไม่มีปัญหาปากท้อง (ข้าราชการก็ได้ขึ้นเงินเดือน) คนเหล่านี้พอใจที่บ้านเมืองหยุดวุ่นวาย ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สิทธิเสรีภาพ เกลียดนักการเมือง เกลียดขบวนการมวลชน บางคนเกลียดข้างเดียว บางคนเกลียดทั้งสองข้าง ดีใจที่รัฐบาลทหารกำราบจะได้ทำมาหากิน พอใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ “จับผู้ร้าย” ข้าราชการต้องสงสัยว่าโกงถึงเอาผิดไม่ได้ก็ยังถูกย้ายด้วยมาตรา 44 (หลังจากนี้ กระทรวงยุติธรรมก็จะขึ้นบัญชีดำ “ผู้ร้าย” มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแสวงความนิยม)

ความพึงพอใจของคนชั้นกลางนี้จะอยู่นานเพียงไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ให้สังเกตว่า ความพึงพอใจนี้ไม่สามารถตอบสนองได้โดยรัฐบาลปกติ รัฐบาลที่ไม่มี ม.44 รัฐบาลที่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลที่อยู่ใต้หลักนิติรัฐ ใต้หลักแบ่งแยกอำนาจ 3 ฝ่าย ซึ่งต้องเคารพกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่สามารถย้ายข้าราชการได้ถ้าไม่มีความผิด เพราะจะถูกฟ้องศาลปกครอง (เผลอๆ ถูกถอดถอนจากนายกฯ)

ความพึงพอใจนี้จึง “ไม่มีอนาคต” มีได้ชั่วคราว เฉพาะกาลเท่านั้น ทำให้เกิดคำถามว่าเราจะกลับสู่สภาพปกติได้เมื่อไหร่ หรือจะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

ใบตองแห้ง

Back to top button