IRPC บวกเกือบ 4% นิวไฮในรอบกว่า 11 ปี โบรกฯแนะซื้อเก็งกำไร เป้า 8.40 บ. คาดกำไรปี61 โต21%

IRPC บวกเกือบ 4% นิวไฮในรอบกว่า 11 ปี โบรกฯแนะซื้อเก็งกำไร เป้า 8.40 บ. คาดกำไรปี61 โต21% โดย ณ เวลา 11.35 น. อยู่ที่ 8.15 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 3.82% สูงสุดที่ 8.20 บาท ต่ำสุดที่ 7.85 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.42 พันลบ.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC ณ เวลา 11.35 น. อยู่ที่ 8.15 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 3.82% สูงสุดที่ 8.20 บาท ต่ำสุดที่ 7.85 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.42 พันลบ. ทั้งนี้ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 11 ปี 9 เดือน นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 8.25 บาท เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2549

ด้าน บล.ฟิลลิป ระบุในบทวิเคราะห์ (27 ก.พ.) แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 8.40 บาท/หุ้น โดยแม้แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/61 จะถูกกดดันจาก crude premium ซึ่งเป็นต้นทุนการกลั่น ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ แต่กำไรไตรมาส 1/61 คาดจะยังทรงตัวแข็งแกร่ง จากการใช้กำลังการผลิตโรงกลั่นที่คาดจะสามารถเดินเครื่องได้มากขึ้นกว่า 220 KBD (เฉลี่ยไตรมาส 4/60 ที่ 207 KBD)

อีกทั้งแนวโน้มค่าการกลั่นไม่ได้ลดลงมาก จากส่วนช่วยของกลุ่มน้ำมันสำเร็จรูปขั้นกลาง (Middle Distillates) ที่มีอุปสงค์ส่วนเพิ่มตามฤดูกาล และอุปทานที่ตึงตัวจากการทยอยปิดซ่อมโรงกลั่นในสหรัฐ และตะวันออกกลาง

รวมถึงแนวโน้มสเปรดปิโตรเคมียังแข็งแกร่ง ทั้ง HDPE, Propylene, PP ,SM จากอุปสงค์ที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีนและความต้องการนำเข้าของจีนที่เพิ่มขึ้น

โดยทางฝ่ายยังมองบวก โดยคงประมาณการกำไรปี 61 เติบโต 21% มาที่ 13.6 พันล้านบาท จากการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นที่จะปรับเพิ่มขึ้น หลังการปรับปรุงประสิทธิภาพหน่วยกลั่น ADU และ RDCC ในปี 60 อีกทั้งบริษัทไม่มีแผนปิดซ่อมบำรุง ทำให้คาดจะสามารถเดินเครื่องเฉลี่ยที่ 215 KBD (จากเฉลี่ย 180 KBD ในปี 60)

พร้อมทั้งรับรู้กำไรจากโครงการ UHV และโครงการต่อเนื่อง (Gasoline  Max., Feed Adj.) ที่เป็นการแปลงสภาพจากน้ำมันเตา เป็น propylene และ gasoline ที่มี margin สูงขึ้น  อีกทั้ง PPE, PPC กำลังการผลิต 300 KTA เต็มปี โดยบริษัทคาดให้ส่วนเพิ่มต่อ Market GIM ปี 61 ที่ 3.25 เหรียญต่อบาร์เรล ช่วยชดเชยกับแนวโน้ม crude premium ที่คาดสูงขึ้นราว 1.5 เหรียญต่อบาร์เรล

รวมทั้งรับผลประโยชน์จากโครงการ IRPC clean power กำลังการผลิตรวม 240 MW เต็มปี iv) คาดจะไม่มี hedging loss มากอย่างปี 60 (-1.5 พันล้านบาท) จากการลดสัดส่วนและระมัดระวังการทำ hedging มากขึ้น

อย่างไรก็ดี แม้จะจบโครงการ EVEREST กับที่ปรึกษา แต่บริษัทยังมีโครงการ  MARS (Maximize Aromatics) ซึ่งเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตอะโรเมติกส์ โดยใช้ข้อได้เปรียบจากการใช้ feedstock ที่บริษัทมีอยู่แล้ว เช่น Naphtha, Toluene, Xylene และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อแปลงเป็น PX และ BZ คาดช่วยเพิ่มสัดส่วนปิโตรเคมีอีกราว 10% ใช้เงินลงทุน 1.0-1.1 พันล้านเหรียญ และคาดเริ่มดำเนินการผลิตได้ปี 65  โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการและจะยังไม่เห็นการลงทุนใหญ่ในช่วง 1-2 ปีนี้

ทั้งนี้ จากแนวโน้มกำไรที่เติบโตเด่นกว่ากลุ่ม จากกำลังการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้น และแนวโน้มปิโตรเคมีที่อยู่ในระดับสูง ทางฝ่ายจึงแนะนำ “ทยอยซื้อ” ปรับราคาพื้นฐานเป็น 8.4 บาท อิง P/B ที่ 1.8 เท่า (จากเดิม 7.5 บาท) คิดเป็น EV/EBITDA ที่ 8.3 เท่า และ P/E ที่ 11.5 เท่า

Back to top button