JKN ส่งซิกปี 61 ผลงานแจ่ม อัพเป้ารายได้แตะ 1.5 พันลบ. เดินหน้าบุกตลาด CLMV

JKN ส่งซิกปี 61 ผลงานแจ่ม อัพเป้ารายได้แตะ 1.5 พันลบ. จ่อรับรู้รายได้ 500 ลบ.ทั้งหมดในปีนี้ พร้อมเดินหน้าบุกตลาด CLMV ฟาก โบรกฯ ปรับประมาณการณ์กำไรปี 61 ขึ้นเฉลี่ยปีละ 22.7%


สืบเนื่องจาก บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN รายงานผลการดำเนินงานประจำปี 60 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 60 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 187.67 ล้านบาท เติบโต 14% จากปีก่อนมีกำไร 164.09 ล้านบาท หลังบริษัทมีรายได้ค่าสิทธิ์เท่ากับ 1.07 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 เท่ากับ 346.81 ล้านบาท หรือคิดเป็น 47.91% โดยมาจากการซื้อเพิ่มขึ้นของลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบธุรกิจสถานีโทรทัศน์ ทั้งระบบดิจิตอล รวมถึงระบบเคเบิลและระบบผ่านดาวเทียม

ทั้งนี้ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจข้อมูลเพิ่มเติม พบว่า ผู้บริหาร JKN ได้ปรับเพิ่มเป้ารายได้รวมปี 61 โต 20-25% จากเดิมคาดโต 15% และคาดว่ารายได้และกำไรในปีนี้จะทำสถิติสูงสุด เนื่องจากบริษัทมีจำนวนลูกค้ามากขึ้น และได้ปรับขึ้นราคาลิขสิทธิ์หนังตามเรทติ้งที่ปรับตัวสูงขึ้นของแต่ละช่องทีวีดิจิทัล รวมทั้งมีงานที่เซ็นสัญญาแล้วรอรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาททั้งหมดในปีนี้

โดย นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JKN เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าในปีนี้จะมีรายได้รวมโต 20-25% มาที่ประมาณ 1.4 – 1.5 พันล้านบาท ปรับขึ้นมาจากเป้าหมายเดิมที่คาดไว้ 15% ซึ่งเป็นรายได้ที่สูงขึ้นจากปี 60 ที่มีรายได้รวม 1.2 พันล้านบาท และคาดว่ากำไรปีนี้ก็จะเติบโตตามรายได้ ทำให้ทั้งรายได้และกำไรในปีนี้จะทำสถิติสูงสุด

ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทมีจำนวนลูกค้ามากขึ้น และได้ปรับขึ้นราคาลิขสิทธิ์หนังตามเรทติ้งที่ปรับตัวสูงขึ้นของแต่ละช่องทีวีดิจิทัล รวมทั้งมีงานที่เซ็นสัญญาแล้วรอรับรู้รายได้กว่า 400 ล้านบาททั้งหมดในปีนี้

สำหรับลูกค้าหลักในส่วนที่เป็นทีวีดิจิทัล ได้แก่ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ผู้บริหาร ไทยทีวีสีช่อง 3 ช่อง 33 HD ช่อง 28SD และช่อง 13 Family ที่เซ็นสัญญาซื้อลิขสิทธิ์ จำนวน 14 เรื่องจำนวน 800 ล้านบาท รับรู้รายได้ปีนี้ 500 ล้านบาท และอีก 300 ล้านบาทรับรู้ในปีหน้า

รวมทั้ง บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ผู้บริหารช่อง 8 เซ็นสัญญาปีนี้ 10 เรื่องจำนวน 500 ล้านบาท และช่องไบรท์ทีวี เซ็นสัญญาละครจากฟิลิปปินส์ 40 เรื่อง จำนวน 150 ล้านบาท โดยงานของลูกค้าทั้ง 2 รายจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนลูกค้าเกือบ 20 ราย นอกจากนี้บริษัทยังมีงานรอเซ็นสัญญาราว 1 พันล้านบาทกับทีวีดิจิทัลรายใหม่ 7 ช่อง คาดเซ็นสัญญาในไตรมาส 3/61 และจะรับรู้ในครึ่งหลังปี 61-ปี 63

นอกจากนี้ยังรุกตลาดต่างประเทศ ในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) มาเลเซีย บรูไน และอินโดนีเซีย โดยมีแผนไปโรดโชว์งานหนังนานาชาติที่ฮ่องกงและที่หังโจวในกลางปีนี้ และไปร่วมงานที่ฝรั่งเศสปลายปีนี้เพื่อหาคอนเท้นต์ใหม่ และขยายลูกค้าต่างประเทศ โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากการขายลิขสิทธิหนังในตลาดต่างประเทศราว 5% จากปีก่อนที่ยังไม่มีรายได้ในส่วนนี้

สำหรับสิทธิ Nation Broadcasting Company Universal (NBC) เพื่อผลิตคอนเท้นต์ ภายใต้แบรนด์ Consumer News and Business Channel (CNBC) ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างเตรียมบุคคลากรเพื่อผลิตคอนเทนต์รายการข่าวให้แก่สถานีข่าวช่อง CNBC Thailand รวมถึงผลิตคอนเทนต์ภายใต้แบรนด์ CNBC ที่ได้รับลิขสิทธิจาก NBC ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้จะผลิตรายการเพื่อออกอากาศในช่องJKN CNBC เบื้องต้นใช้งบลงทุน ประมาณ 125 ล้านบาท คาดเริ่มออกอากาศได้ภายในปี 62

ด้าน นายธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน JKN เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ จำนวน 250 ล้านบาทภายในเดือน ก.ค.นี้เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน จำนวน 400 ล้านบาท และในเดือน ธ.ค.61 อีกจำนวน 210 ล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายหุ้น IPO มาไถ่ถอนด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทให้กรอบวงเงินหุ้นกู้ 800 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทจะออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญรุ่นแรก (JKN-W1) จำนวน 108 ล้านหน่วย อายุ 2 ปี คาดระดมทุนได้ประมาณ 1.6 พันล้านบาทใช้ลงทุนคอนเทนท์ และโครงการใหญ่อีก 1 โครงการ ขณะที่ในปีนี้บริษัทจะลดภาระหนี้ลงจากปัจจุบันมีอยู่ 1.1-1.2 พันล้านบาท ซึ่งมีภาระดอกเบี้ยราว 6.5%

ด้าน บล.เออีซี ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 16.80 บาทต่อหุ้น โดยมีมุมมองบวกต่อทิศทางธุรกิจของ JKN ในปี 2561 หลังคาดเม็ดเงินโฆษณาของดิจิตอลทีวีที่ฟื้นตัวจะทำให้ผู้ให้บริการดิจิตอลทีวี (มาร์จิ้นสูง) เริ่มกลับมาจัดหาคอนเทนท์ที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดคนดูมากขึ้น สอดคล้องกับความนิยมซีรี่ย์อินเดียในไทยที่ดีขึ้นมาก (สัดส่วนรายได้ 40% ของ JKN) หลังล่าสุด Rating ของซีรี่ย์ หนุมานสงครามมหาเทพ (ค่าโฆษณาราว 400,000 บาท/นาที) ที่ขายให้กับช่อง 8 ปรับขึ้นมาที่ 3.417 เป็นอันดับ 1 ของช่อง และเป็นอันดับ 4 ในช่วง Prime Time ทัดเทียบกับละครของช่อง 7 และช่อง 3

โดยประเด็นดังกล่าวทำให้คาด JKN จะจำหน่ายสิทธิ์คอนเทนท์ในกลุ่มซีรี่ย์อินเดียได้มากขึ้น และมีอำนาจต่อรองด้านราคาสูงขึ้น ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมี Backlog แล้วราว 500 ล้านบาท (เซ็นสัญญาขายสิทธิ์แล้ว 40 เรื่อง) ที่คาดจะรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้

อีกทั้ง JKN ยังเตรียมนำซีรี่ย์จากฟิลิปปินส์เข้ามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ให้บริการดิจิตอลที่วีที่ต้องการลดต้นทุนผลิตรายการ เนื่องจากมีลักษณะคล้ายละครไทยแต่มีต้นทุนผลิตต่ำกว่ามาก ซึ่งคาดจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าระดับรองลงมาได้ดี

ดังนั้นเพื่อสะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าว จึงปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไรตั้งแต่ปี 2561 ขึ้นเฉลี่ยปีละ 22.7% โดยภายใต้ประมาณการณ์ใหม่คาดปี 2561 JKN จะมีกำไรสุทธิ 284 ล้านบาท โต 51.5% เทียบจากปีก่อน และปี 2562 โตต่อ 20.9% เทียบจากปีก่อน

ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมออก JKN-W1 ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 5 หุ้นเดิม : 1 Warrant โดยไม่คิดมูลค่า ไม่เกิน 108 ล้านหน่วย (อัตราใช้สิทธิ 1:1, ราคาใช้สิทธิ 15 บาท, อายุ 2 ปี) ซึ่งหากมีการใช้สิทธิครบจำนวนจะเกิด Control และ Price Dilution ราว 16.67% และ 1.24% ตามลำดับ (XW 2 พ.ค.)

ส่วนราคาหุ้น JKN ปิดตลาดล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ก.พ.61 อยู่ที่ 16.10 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 3.21% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 76.40 ล้านบาท ซึ่งยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายที่ 16.80 บาท อยู่ 4%

Back to top button