“ออลล์ อินสไปร์” เล็งขาย IPO 102 ล้านหุ้น จ่อเทรด Q4/61 ระดมทุนพัฒนาโครงการในอนาคต

“ออลล์ อินสไปร์” เล็งขาย IPO จำนวน 102 ล้านหุ้น จ่อเทรด Q4/61 ระดมทุนพัฒนาโครงการในอนาคต พร้อมตั้งเป้ายอดขายปีนี้ที่ 8 พันล้านบาท หลังวางแผนเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.01 หมื่นล้านบาท


นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมข้อมูลเพื่อจัดทำแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในเดือน พ.ค.-มิ.ย.61 และคาดว่าจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) ราวไตรมาส 4/61 โดยมี บล.เอเชีย พลัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 102 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 25% ของทุนจดทะเบียน จากเดิมที่มีหุ้นสามัญอยู่ที่ 410 ล้านหุ้น ซึ่งปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ 99% คือ ครอบครัวธนวริทธิ์ โดยหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้สัดส่วนการถือหุ้นจะลดลงมาอยู่ที่ 75%

สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนผ่านการเสนอขาย IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งมาชำระหนี้เงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และนำเงินมาใช้ในการพัฒนาโครงการในอนาคตและซื้อที่ดินรองรับการพัฒนา อีกทั้งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกลง มีเครื่องมือทางการเงินที่สามารถใช้นำมาต่อยอดธุรกิจได้หลากหลายขึ้น และเป็นที่รู้จักมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้บริษัทมีแผนจะมีการเสนอขายหุ้นกู้ในเดือน มี.ค.นี้ มูลค่า 1 พันล้านบาท เพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนสำหรับการซื้อที่ดิน โดยอยู่ระหว่างรอผลการจัดอันดับเครดิตของบริษัท ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสทางธุรกิจที่จะเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ หลังจากการเสนอขาย IPO แล้ว บริษัทอาจจะพิจารณาขายหุ้นบางส่วนให้กับพันธมิตรหรือนักลงทุนสถาบันที่มีความสนใจ ซึ่งขณะนี้มีหลายราย โดยเฉพาะพันธมิตรญี่ปุ่น คือ ฮูซิเออรส์ โฮลดิ้งส์ ที่ได้ร่วมทุนพัฒนาโครงการแรก คือ โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 50 ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่เข้ามาช่วยต่อยอดการเติบโตของบริษัท อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ยืนยันที่จะถือหุ้นในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 60%

นายธนากร กล่าวอีกว่า ผลประกอบการของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากกลยุทธ์การดำเนินงานต่างๆ ของบริษัทที่เข้าถึงและเข้าใจลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยในช่วงปี 58-60 บริษัททำรายได้ 109 ล้านบาท 421 ล้านบาท และ 715 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่ผลงานในปี 61 จะเติบโตอย่าวก้าวกระโดดไปที่ 5.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 715 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้จะมีการโอนโครงการที่สร้างเสร็จใหม่จำนวน 5 โครงการ จึงจะมีการรับรู้รายได้จาก Backlog เข้ามาราว 5 พันล้านบาท รวมไปถึงการเข้าไปขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น เพื่อเข้าไปสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโตของธุรกิจ โดยในไตรมาส 1/61 คาดว่าจะเติบโตได้ดี ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างรอการสรุปงบการเงินเพื่อยื่นเป็นข้อมูลในไฟลิ่ง

นอกจากนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายรอโอน (Backlog) เป็นไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 7.5 พันล้านบาท เพื่อรองรับรายได้ในอนาคต พร้อมทั้งตั้งเป้ายอดขายในปีนี้อยู่ที่ 8 พันล้านบาท โดยวางแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.01 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียม Low-rise จำนวน 3 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียม High-rise จำนวน 2 โครงการ โครงการทาวน์เฮาส์ จำนวน 1 โครงการ และโครงการวิลล่าระดับพรีเมียม จำนวน 1 โครงการ

สำหรับจุดเด่นของบริษัทอยู่ที่การพัฒนาโครงการที่สามารถแข่งขันราคากับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้บนทำเลที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นระดับราคาที่จับต้องได้ คุณภาพโครงการและบริการแบบพรีเมียม พร้อมการตกแต่งที่อยู่ได้จริง ปัจจุบันบริษัทยังเน้นลูกค้าในกลุ่ม C โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานและต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง หรือเพื่อการลงทุน

โดยบริษัทจะให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้าและตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้า จึงมีแนวคิดการพัฒนาโครงการในรูปแบบที่ใช้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

ส่วนกลยุทธ์การพัฒนาโครงการของบริษัทจะเป็นการค่อยๆ กระจายไปในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในแต่ละประเภท โดยเริ่มจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม Low-rise ในช่วงเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แต่ในปี 61 จะเริ่มเห็นการขยายเข้าไปในตลาดคอนโดมิเนียม High-rise, ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียมในจังหวัดท่องเที่ยว เพื่อเป็นการกระจายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น

พร้อมกับมอบสิทธิพิเศษต่างๆ ให้กับลูกค้าแบบเหนือความคาดหมาย ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การให้สิทธิเข้าใช้ All Inspire Lounge ในศูนย์การค้า Paragon ที่ใช้งบ 60 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 3 ปี เป็นต้น และบริษัทได้ช่องทางการโปรโมทผ่านสื่อในเครือโรงภาพยนต์เมเจอร์ ซินีเพล็กซ์ อีกทั้งสามารถจัดกิจกรรมต่างๆ ให้กับลูกค้าได้

ในแง่ของกำไร บริษัทมีความโดดเด่นในแง่ของอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าอยู่ที่ 43-45% ในปีนี้ ซึ่งเทียบเท่ากับค่าเฉลี่ยของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 40% เช่น LH, SPALI, SENA และ ORI จากการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้านต้นทุนที่ดินที่บริษัทสามารถซื้อได้ราคาที่ต่ำกว่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น เพราะเป็นการซื้อที่ดินผ่านเจ้าของที่ดินโดยตรง

นายธนากร ยังกล่าวถึงการพัฒนาโครงการต่างๆ ว่า ล่าสุดบริษัทได้เปิดโครงการอิมเพรสชั่น ภูเก็ต (Impression Phuket) บนทำเลศักยภาพสูงสุดด้านการท่องเที่ยวที่อ่าวฉลอง มูลค่าโครงการกว่า 1.6 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท/ยูนิต เน้นจับกลุ่มนักลงทุนและนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ทั้งคนไทย-ต่างประเทศ ที่ต้องการลงทุน รวมไปถึงการพักผ่อนที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์

“ด้วยความมั่นใจศักยภาพการเติบโตด้านเศรษฐกิจและการท่องเทียวของจังหวัดภูเก็ต และเป็นการปูทางสู่การเข้าไปเจาะกลุ่มลักชัวรี่ เรสซิเดนซ์ อย่างเต็มตัว ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มนักธุรกิจรายใหญ่ในประเทสไทยที่มีการจองซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก” นายธนากร กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเปิดการขายอย่างเป็นทางการโครงการ The Excel Hideaway รัชดา-ห้วยขวาง มูลค่า 1.3 พันล้านบาท จำนวน 565 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท/ยูนิต ในวันที่ 31 มี.ค.นี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี หลังจากที่ได้เปิดการจอง Online Booking ในวันที่ 22 มี.ค. ที่ผ่านมา และมียอดจองเข้ามาจำนวน 200 ห้องแล้ว โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาจองซื้อโครงการดังกล่าวในช่องทาง Online Booking

Back to top button