สงครามค่าฟี

*เดี๊ยนไม่อยากเม้าท์อะไรมากมายในช่วงที่ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความผันผวน เพราะเป็นเรื่องที่ผู้เล่นรู้กันอยู่แล้วว่า ควรทำตัวอย่างไร? จึงไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งข้อเขียนเมื่อวันก่อนของ “โมนิก้า” ได้พาดหัวตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มว่า “เซ็ตเกมใหม่” น่าจะทำให้แฟนคลับเข้าใจอารมณ์ตลาดหุ้นไทยในยามนี้ได้เป็นอย่างดีนะจะบอกให้


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

*เดี๊ยนไม่อยากเม้าท์อะไรมากมายในช่วงที่ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความผันผวน เพราะเป็นเรื่องที่ผู้เล่นรู้กันอยู่แล้วว่า ควรทำตัวอย่างไร? จึงไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ รวมทั้งข้อเขียนเมื่อวันก่อนของ “โมนิก้า” ได้พาดหัวตัวใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มว่า “เซ็ตเกมใหม่” น่าจะทำให้แฟนคลับเข้าใจอารมณ์ตลาดหุ้นไทยในยามนี้ได้เป็นอย่างดีนะจะบอกให้

*ด้วยเหตุนี้ถึงไม่ต้องหาเหตุผลมาอธิบายการดิ่งลงของดัชนีมาปิดที่ 1,784.99 จุด ลบไป 17.59 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 7.26 หมื่นล้านบาท เพราะมันเป็นเรื่องของการทุบเอาของถูกเหมือนรอบที่ผ่านมา “โมนิก้า” ถึงพยายามให้แฟนคลับมองเสต็ปการไล่หุ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป และมองการสาดหุ้นลงมาเรื่อยๆ มีจุดกลับตัวอยู่ตรงบริเวณไหน? เพราะจะทำให้การเล่นหุ้นเที่ยวนี้ง่ายขึ้นเป็นกองเลยทีเดียวเจ้าค่ะ

*เมื่อสถานการณ์สุกงอมจนถึงขั้นหลุดแนวรับสำคัญทางจิตวิทยา 1,800 จุดลงมาง่ายๆ “โมนิก้า” ก็อยากให้แฟนคลับมองจุดแนวรับถัดไปที่บริเวณ 1,760 จุดไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้เตรียมตัวช้อนหุ้นกันอย่างสบายใจเฉิบ เพราะระดับดังกล่าวถือเป็นเซฟตี้โซนจุดแรกที่นักเล่นต่างรับรู้กันมานาน วันนี้ถึงต้องปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามกลไกของตลาดหุ้นก่อนไงล่ะคะ

*เหมือนกับสงครามค่าฟีของหุ้นกลุ่มแบงก์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้กับผู้เล่นกลุ่มสถาบันมากพอสมควร เพราะกระทบรายได้ในส่วนดังกล่าวมากพอสมควร จึงทำให้นักเล่นเผ่นป่าราบกันเป็นแถว พร้อมกับทำให้สถานการณ์ของหุ้นแบงก์ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะตัวเลขในส่วนของค่าธรรมเนียมกระทบกับการทำกำไรนั่นเองเจ้าค่ะ

*ด้วยเหตุนี้ถึงไม่แปลกใจที่เห็นหุ้น KBANK โดนเทกระจาดตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนหุ้นลงมานอนกองอยู่ที่ 213 บาท ลบไป 9 บาท หรือลงไป 4% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.84 พันล้านบาท หลังตัวเลขในงบการเงินแสดงรายได้ในส่วนนี้มากกว่าแบงก์อื่น อีกทั้งลูกค้ากลุ่มเอสเอ็มอีไม่ฟื้นตัวตามที่หลายคนคาดหวัง กูรูหลายท่านเลยฟันธงแบบไม่กลัวด้ามธงหักกันว่า อวสานโลกสวยนะคะ

*ส่วนคู่แข่งคนสำคัญอย่างแบงก์ตราใบโพธิ์ SCB ก็ตกที่นั่งลำบากเหมือนกัน เพราะรายได้เกี่ยวกับธุรกรรมค่าธรรมเนียมก็ใช่ย่อย บวกกับลูกค้ารายใหญ่ก็มีปัญหาติดขัดหลายราย วานนี้ถึงมีแรงเทขายออกมาเยอะกว่าปกติ จนฉุดราคาหุ้นลงมาปิดที่ 141.50 บาท ลบไป 3.50 บาท หรือลงไป 2.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.66 พันล้านบาทแบบนี้..เขาเรียกว่าหมดสภาพ หากวันนี้ไม่เด้งกลับ ก็ตัวใครตัวมันพะย่ะค่ะ

*อีกหนึ่งรายที่กระโดดเข้ามาเล่นสงครามค่าฟีกับเขาด้วยคนอย่างเช่น KTB ก็เป็นไฟต์บังคับที่ต้องขึ้นชกด้วยความไม่เต็มใจ เพราะลำพังฐานะความมั่นคงของตัวเองก็มีปัญหาเยอะแยะ คนถือหุ้นเลยไม่มั่นใจว่า ผลงานในปี 2561 จะออกมาดีจริง? จึงโดนเทขายอย่างหนักตั้งแต่เช้า จนหุ้นหลุดแนวรับสุดท้ายบริเวณ 19.30 บาท ลงมาปิดที่ระดับ 19.20 บาท ลบไป 0.50 บาท หรือลงไป 2.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.23 พันล้านบาท สงสัยจะลงยาวนะลูกพี่!

*ประเด็นดังกล่าวยังกระทบชิ่งไปยัง FSMART แบบเนื้อๆ เน้นๆ เต็มๆ หัวใจ เพราะการฟรีค่าธรรมเนียมของแบงก์ ส่งผลต่อแผนการทำรายได้ของตู้บุญเติมอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้คนที่กอดหุ้นไว้ก่อนหน้านี้ รีบโยนหุ้นทิ้งแบบไม่ดูดำดูดี หุ้นถึงไหลลงมากองอยู่ที่ 10.40 บาท ลบไป 1.30 บาท หรือลงไป 11.10% ด้วยมูลค่า 331 ล้านบาทแบบนี้ เดี๊ยนบอกได้แค่ว่า น่าจะรอให้คลื่นลมสงบก่อนดีไหม?

*ส่วนคนที่ทำให้นักเล่นสถาบันเสียความรู้สึกอย่างแรง “โมนิก้า” ขอพุ่งเป้าไปยัง CPALL หลังโดนเทขายทำกำไรอย่างหนัก จนหุ้นลงมาปิดที่ 87.75 บาท ลบไป 2.25 บาท หรือลงไป 2.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3 พันล้านบาท มันเป็นเรื่องของ sell on fact หลายคนขายบิ๊กล็อตหุ้นแม็คโครได้กำไรไปกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้แมงเม่านินทาลับหลังว่า งานนี้น่าจะมีอินไซด์เกิดขึ้นมาระยะหนึ่ง หุ้นถึงพุ่งขึ้นไม่ยอมหยุด แต่ทันทีที่ประกาศข่าวจริงปุ๊บ..หุ้นลงปั๊บ คุณว่าจริงไหม?

*สำหรับในรายของ MAKRO ไหลลงมาปิดที่ระดับ 45 บาท ลบไป 6 บาท หรือลงไป 11.75% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2 พันล้านบาท ทุกคนลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า บิ๊กล็อตหุ้นที่ราคา 44 บาทเป็นราคาต่ำกว่าในกระดานเยอะ พวกนักลงทุนสถาบันถึงรีบทิ้งหุ้นออกมาก่อน เพราะกลัวจะมีการเทขายหุ้นล็อตสองออกมาในราคาต่ำกว่านี้ จึงกลายเป็นหุ้นที่เสียทรงไปในทันทีไงล่ะคะ

Back to top button